กูรูหุ้นประเมิน PTG ปั๊มกำไร Q4 แตะ 500 ลบ.
รับอานิสงส์ยอดขายน้ำมันเพิ่ม – Non Oil หนุนเชียร์ “ซื้อ”อัพราคาเป้าหมาย 11.50 บ./หุ้น
กูรูหุ้นจาก บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิปี 66 พุ่งแตะ 994 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 คาดสูงกว่า 500 ล้านบาท รับแรงหนุนจากปริมาณยอดขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและธุรกิจ Non-Oil ขณะที่กำไรปี 67 ประมาณการไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% อัพราคาเป้าหมายใหม่ที่ 11.50 บาท จากเดิม 10.40 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เผยแพร่บทวิเคราะห์ โดยประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2566 ของหุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) ไว้ที่ 994 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/2566 จะสูงกว่า 500 ล้านบาท (จากขาดทุนสุทธิ 4 ล้านบาทในไตรมาส 4/2565 และกำไรสุทธิ 19 ล้านบาทในไตรมาส 3/2566 ซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นคาดการณ์มาจากปริมาณยอดขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็น 1,550 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงค่าการตลาดน้ำมันที่เพิ่มเป็น 1.90 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้น 20% จากกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 14% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังคาดว่ากำไรจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เพราะยอดขายร้าน Max Mart และร้านกาแฟพันธุ์ไทยสูงขึ้นตามจำนวนรถที่มาใช้บริการสถานีบริการน้ำมันแบรนด์ PTG ในไตรมาส 4/2566 ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยใช้สมมุติฐานว่าปริมาณยอดขายน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 6% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 6,300 ล้านลิตรในปีหน้า จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย หลังจากที่นักวิเคราะห์กลุ่มท่องเที่ยวของ KGI ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 16% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 32 ล้านคน จาก 27.5 ล้านคนในปี 2566
อีกทั้งยังคาดว่าค่าการตลาดน้ำมันปีหน้าจะอยู่ที่ 1.70 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นขอบล่างของระดับปกติ (1.70-1.80 บาท/ลิตร) เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มลดลงในปีหน้าเผชิญแรงกดดันน้อยลงจากการคุมเข้มค่าการตลาดน้ำมันเบนซินในไทย ถึงแม้ว่ารมว.พลังงานจะเร่งศึกษาและแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุมค่าการตลาดน้ำมันทุกประเภทไม่ให้เกิน 2.00 บาท/ลิตร แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าการที่ราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลงจาก US$93/bbl ในเดือนกันยายน เป็น US$ 75/bbl ในปัจจุบันจะช่วยลดแรงกดดันจากการคุมเข้มค่าการตลาดน้ำมันเบนซินของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันในไทย เพราะราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลงมากหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบลดลง อีกทั้งกระบวนการศึกษาและแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องต้องใช้เวลายาวนาน
ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงปรับราคาเป้าหมายปี 2567 ไว้ที่ 11.50 บาท จากเดิม 10.40 บาท เพื่อสะท้อนถึงประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรปี 2567 ที่ 34% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ จากเดิม ถือ เนื่องจากคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/2566 และเผชิญแรงกดดันน้อยลงจากการคุมเข้มค่าการตลาดน้ำมันเบนซินในไทย หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงในไตรมาสนี้