มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ จับมือพันธมิตร เปิดตัวโครงการ “TRUST”

By / 4 hours ago / News / No Comments
มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ จับมือพันธมิตร เปิดตัวโครงการ “TRUST”

ร่วมขับเคลื่อนความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศไทย

มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และพันธมิตรหลายภาคส่วน ได้แก่ โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เพื่อเปิดตัวโครงการ TRUST (Thailand Road Users Safety through Technology) อย่างเป็นทางการ เพื่อทดสอบแนวทางในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงระบบและการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568

นำโดย ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร,  มร. ซูซุมุ มัตสึดะ ผู้อำนวยการมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้, มร. ศรีนิวาสะ โปปุริ ผู้อำนวยการโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ สำนักงานโครงการกรุงเทพมหานคร, ศาสตราจารย์ ดร.มนูกิจ พานิชกุล รองอธิการบดีของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และ ​นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการใช้เทคโนโลยีมาทำการวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการขับขี่บนท้องถนน เพื่อแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุและยกระดับความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทย

โครงการ TRUST มีจุดเริ่มต้นจากความมุ่งมั่นของโตโยต้าในการส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน โดยถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ริเริ่มขึ้นจาก การประชุม Tateshina ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัทโตโยต้า ณ ประเทศญี่ปุ่น ในการประชุมดังกล่าว โตโยต้าได้เชิญผู้นำจากหลากหลายอุตสาหกรรมเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางความปลอดภัยบนท้องถนน โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนสังคมสู่ “Vision Zero” หรือ เป้าหมายลดอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือศูนย์ในระดับโลก

จากอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงในประเทศไทย ประกอบกับความมุ่งมั่นของโตโยต้าที่ต้องการก้าวสู่การเป็น “Best in Town” มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ จึงได้ริเริ่ม โครงการ TRUST โดยผนึกความร่วมมือกับหลากหลายภาคส่วน เพื่อยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างยั่งยืน การดำเนินงานของโครงการแบ่งออกเป็นหลายระยะ โดยเน้นการนำข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์เพื่อระบุสาเหตุของอุบัติเหตุ ผ่าน 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ผู้ใช้ถนน ยานพาหนะ ถนนและโครงสร้างพื้นฐาน

ความคิดริเริ่มที่สำคัญ: ระยะนำร่อง (เฟส 1) และการขยายผลสู่เฟส 2

โครงการทดลองระยะที่ 1 (เมษายน 2567 – มิถุนายน 2568)

ในระยะเริ่มต้นของโครงการ มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) ได้ร่วมมือกับ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ทดลองดำเนินงานในพื้นที่จังหวัด ฉะเชิงเทรา โดยใช้ ข้อมูลจากยานพาหนะของโตโยต้า (Probe Data) เพื่อระบุพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัย การศึกษานี้มุ่งเน้นไปที่ 5 จุดเสี่ยง ในอำเภอพนมสารคามและอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา โดยวิเคราะห์พฤติกรรมต่างๆ เช่น การเบรกกะทันหัน การเร่งเครื่องอย่างรวดเร็ว การเลี้ยวกระทันหัน

ผลการศึกษาในระยะแรกแสดงให้เห็นว่า Probe Data มีศักยภาพในการระบุจุดเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ยังคงมุ่งเน้นไปที่ยานพาหนะสี่ล้อเป็นหลัก ขณะที่อุบัติเหตุทางถนนส่วนใหญ่ในประเทศไทยมักเกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์ ซึ่งยังคงต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถทำการวิเคราะห์ได้อย่างครอบคลุมและพัฒนาวิธีการการแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ระยะที่ 2 (พฤษภาคม 2568 – เมษายน 2570)

ในระยะที่ 2 ของโครงการ TRUST มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้จะขยายการใช้แหล่งข้อมูล และเครือข่ายความร่วมมือให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งนำการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงและออกแบบมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพ พื้นที่เป้าหมายหลักในระยะนี้คือ เขตจตุจักร  กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุสูง เนื่องจากลักษณะการจราจรที่หนาแน่น และมีโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ครอบคลุมอย่างทั่วถึง

ในระยะนี้ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด (RVP) จะเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ โดยให้ ข้อมูลอุบัติเหตุ ซึ่งจะช่วยเสริมความแม่นยำในการวิเคราะห์ พร้อมนำไปสู่การพัฒนาแนวทางจัดการความปลอดภัยบนท้องถนนที่เหมาะสมกับบริบทของเมืองอย่างแท้จริง

ความสำเร็จของโครงการ TRUST เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของกลุ่มพันธมิตรหลากหลายภาคส่วน โดยบทบาทที่ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent)  และแบ่งบทบาทที่ชัดเจน ดังนี้

  • กรุงเทพมหานคร (BMA) – สนับสนุนด้านฐานข้อมูล, ภาพจากกล้องวงจรปิด (CCTV), และดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัย พร้อมทั้งเป็นผู้ผลักดันโครงการโดยรวม
  • โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat) – พัฒนาศักยภาพ, สร้างเครือข่ายระดับโลก, และให้ข้อมูลเชิงลึกด้านความปลอดภัยระดับนานาชาติ
  • สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) – บริหารจัดการโครงการ, ให้การสนับสนุนทางเทคนิค การวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุและพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงกำกับดูแลด้านวิชาการ
  • โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) – ให้ข้อมูล  probe data และองค์ความรู้จากโครงการ
  • โตโยต้าถนนสีขาว เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน มุ่งเน้นการรณรงค์ ส่งเสริม พัฒนาทักษะจากการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ที่เป็นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ
  • มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) – สนับสนุนเงินทุนและเทคโนโลยี รวมถึงการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Probe Data, ข้อมูลที่บันทึกเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุ และข้อมูลอุบัติเหตุ

นอกจากนี้ยังได้รับการสนันสนุนข้อมูลจากพันธมิตร ได้แก่

  • บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด (RVP) – ให้การสนับสนุนข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในอดีตเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย

ระยะเวลาดำเนินโครงการและแนวทางการขยายผลในอนาคต

โครงการ TRUST จะเริ่มดำเนินการในดือนพฤษภาคม 2568 ถึง เดือนเมษายน 2570 (ระยะเวลา 2 ปี) โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันอุบัติเหตุที่สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ความสำเร็จและข้อมูลเชิงลึกจากโครงการ TRUST จะถูกนำเสนอในเวทีนานาชาติเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาความปลอดภัยบนท้องถนนในระดับสากลต่อไป

มร. ซูซูมุ มัตสึดะ ผู้อำนวยการมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ TRUST ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย โดยอาศัยการใช้ข้อมูลจากยานพาหนะร่วมกับการวิเคราะห์ขั้นสูง เรามุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมบนท้องถนนในกรุงเทพมหานครให้ ปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีความตั้งใจที่จะ ขยายรูปแบบโครงการนี้ไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศไทยในอนาคต วิสัยทัศน์สูงสุดของเราคือการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เป็นศูนย์ ด้วยพลังของ ความร่วมมือ และนวัตกรรมที่สร้างสรรค์”

ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นวาระสำคัญสำหรับกรุงเทพมหานคร และเราต้องดำเนินมาตรการอย่างจริงจังเพื่อลดอุบัติเหตุและรักษาชีวิตผู้คน การจำกัดความเร็ว, ส่งเสริมการสวมหมวกกันน็อกในกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และการปรับปรุงสภาพถนน ล้วนเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้ท้องถนนของเราปลอดภัยยิ่งขึ้น มาตรการเหล่านี้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการปกป้องผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน

นอกเหนือจากนโยบาย เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น ปรับปรุงทางข้ามถนน และใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายจราจร การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ผู้ขับขี่ และประชาชนผู้ใช้ทางเท้า หากเราร่วมมือกัน กรุงเทพมหานครจะกลายเป็นเมืองที่ปลอดภัยและน่าอยู่สำหรับทุกคน”

มร. ศรีนิวาสะ โปปุริ ผู้อำนวยการโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ สำนักงานกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “เมืองต่างๆ จำเป็นต้องเร่งความพยายามในการพัฒนาความปลอดภัยทางถนนอย่างเร่งด่วน ที่องค์การยูเอ็น-ฮาบิแทต เราเชื่อว่าการใช้ประโยชน์จากโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เมืองมีความปลอดภัยและครอบคลุมมากขึ้น เช่น ความเร็วของยานพาหนะ ปริมาณการจราจร ประเภทของยานพาหนะ และสถานการณ์เสี่ยงที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุ

ศาสตราจารย์ ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “จากการดำเนินงานระยะแรกในจังหวัดฉะเชิงเทรา เราได้ใช้ข้อมูลจาก Probe Data ของยานพาหนะร่วมกับเทคโนโลยี AI ในการรวบรวมและวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุ ควบคู่ไปกับวิธีการดั้งเดิมที่ใช้กันในการศึกษาการเกิดอุบัติเหตุทางจราจร (RC – EXPAND) ซึ่งพบว่ามีข้อได้เปรียบหลายประการที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ หนึ่งในนั้นคือการมีข้อมูลที่ครอบคลุมระยะเวลานานกว่า ซึ่งแตกต่างจากการเก็บข้อมูลโดยมนุษย์ที่มักจำกัดอยู่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อีกทั้งยังช่วยลดอคติจากการประเมินของมนุษย์ นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้ยังให้รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับจราจร เช่น ความเร็วของยานพาหนะ ปริมาณการจราจร ประเภทของยานพาหนะ และสถานการณ์เสี่ยงที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุ”

“อย่างไรก็ตาม เรายังคงเผชิญกับความท้าทายบางประการในการเก็บรวบรวมข้อมูลประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ความรู้และความเชี่ยวชาญของผู้ใช้ข้อมูล อีกทั้งในระยะนี้ เรายังขาดข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การวิเคราะห์ครอบคลุมและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”