โตโยต้าแถลงยอดขายรถยนต์ปี 2563

By / 4 years ago / News / No Comments
โตโยต้าแถลงยอดขายรถยนต์ปี 2563

คาดการณ์ตลาดรวมปี 2564 ประมาณ 850,000 – 900,000 คัน ตั้งเป้าประมาณการขายโตโยต้าอยู่ระหว่าง 280,000 – 300,000 คัน

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2563 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2564 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 ผ่านช่องทางออนไลน์

มร.ยามาชิตะ กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามาตรการจากทางภาครัฐประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีในการจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน ทำให้เราเชื่อมั่นว่าสถานการณ์กำลังจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และคาดว่าอนาคตอันสดใสกำลังจะเริ่มขึ้นนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถึงแม้ว่าสถานการณ์การระบาดจะกลับมาอีกครั้งก็ตาม ทั้งนี้บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดจะอยู่เคียงข้างคนไทยเสมอ พร้อมต่อสู้ไปด้วยกันจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งนี้จะสิ้นสุดลง และหวังว่าคนไทยทุกคนจะปลอดภัยและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ”

มร.ยามาชิตะ กล่าวต่อไปว่า “สำหรับยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทยปี 2563 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ยอดขายลดลง 21.4% โดยมียอดขายอยู่ที่ 792,146 คัน”

สถิติการขายรถยนต์ในประเทศปี 2563ยอดขายปี 2563เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2562
ปริมาณการขายรวม792,146 คัน      -21.4%
รถยนต์นั่ง 274,789 คัน-31.0%
รถเพื่อการพาณิชย์517,357 คัน-15.1%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)409,463 คัน-16.8%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)364,887 คัน-15.5%

สำหรับแนวโน้มตลาดรถยนต์ของปี 2564 มร.ยามาชิตะคาดการณ์ว่า“ในปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายอีกครั้งสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย เนื่องจากยังคงต้องเผชิญกับหลายปัจจัย จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 การพัฒนาวัคซีนและการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมถึงแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ กิจกรรมทางการตลาด และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ จะมีบทบาทสำคัญต่อการกระตุ้นยอดขายรถยนต์  ดังนั้น เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แล้ว จึงคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 850,000 – 900,000 คัน เพิ่มขึ้น 7-14% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา”

ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2564ยอดขาย ประมาณการปี 2564เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2563
ปริมาณการขายรวม850,000 900,000 คัน     + 7-14%
รถยนต์นั่ง290,000 318,000 คัน+ 5-15%
รถเพื่อการพาณิชย์560,000 582,000 คัน+ 8-13%

มร.ยามาชิตะ กล่าวถึงยอดขายของโตโยต้าในปีที่ผ่านมาว่า “สำหรับยอดขายโตโยต้าในปี 2563 ยอดขายรวมของโตโยต้าลดลง 26.5% หรือคิดเป็นจำนวน 244,316 คัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทฯ จะเผชิญกับความยากลำบากมากมายในปีที่ผ่านมา แต่ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 30.8% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด เนื่องจากมีการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่าง โคโรลล่า ครอส  ยาริส  เอทีฟ  ฟอร์จูนเนอร์ เลเจนเดอร์  ไฮลักซ์ รีโว่  และอินโนว่า คริสต้า ทั้งหมดนี้ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า และส่งผลให้โตโยต้าสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้”  

สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2563ยอดขายปี 2563เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2562ส่วนแบ่งตลาด
ปริมาณการขายโตโยต้า244,316 คัน      -26.5%30.8%
รถยนต์นั่ง 68,152 คัน-42.1%24.8%
รถเพื่อการพาณิชย์176,164 คัน-17.9%34.1%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)149,635 คัน-21.9%36.5%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)129,893 คัน-21.5%35.6%

มร.ยามาชิตะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับเป้าหมายของโตโยต้าในปี 2564 โตโยต้ามีเป้าหมายการขายอยู่ระหว่าง 280,000 – 300,000 คัน หรือคิดเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้น 15 – 20% จากปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 33.3%”

ปริมาณการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2564ยอดขาย ประมาณการปี 2564เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2563ส่วนแบ่งตลาด
ปริมาณการขายโตโยต้า280,000 – 300,000 คัน      + 15-23%33.0%
รถยนต์นั่ง   82,500 – 92,000 คัน      + 21-35%29.0%
รถเพื่อการพาณิชย์197,500 – 208,000 คัน      + 12-18%36.0%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)168,500 – 181,000 คัน      + 13-21%38.0%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)144,000 – 153,000 คัน      + 11-18%38.0%

ด้านการส่งออกในปี 2563 โตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 215,277 คัน ลดลง 18.7% ปริมาณการผลิตสำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 442,822 คัน ลดลง 22.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป และการผลิตของโตโยต้าปี 2563ปริมาณปี 2563เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2562
ปริมาณการส่งออก215,277 คัน      -18.7%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ442,822 คัน-22.4%

 ทั้งนี้สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ คาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกจะอยู่ที่ 254,000 คัน เพิ่มขึ้น 18% จากปีที่แล้ว เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากภูมิภาคหลัก เช่น เอเชียและโอเชียเนีย ทั้งนี้โตโยต้าตั้งเป้าการผลิตรถยนต์อยู่ที่ 527,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 19% จากปี 2563 ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าว สอดคล้องกับเป้าหมายยอดขายของทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป และการผลิตของโตโยต้าปี 2564ปริมาณปี 2564เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2563
ปริมาณการส่งออก254,000 คัน      18%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ527,000 คัน19%

มร.ยามาชิตะ กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในประเทศไทยว่า“เป็นที่ทราบกันดีว่าอุตสาหกรรมของเราได้ก้าวสู่ยุคแห่งการปฏิรูปครั้งใหญ่โดยโตโยต้ามุ่งมั่นปฏิรูปองค์กรจากเดิมที่เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สู่การเป็น“องค์กรแห่งการขับเคลื่อน” (Mobility Company) เรามีเป้าหมายเดินหน้ามอบความสุขให้กับสังคมไทย ด้วยกิจกรรมต่างๆที่โตโยต้าดำเนินการเพื่อผลักดัน “ธุรกิจการขับเคลื่อน” ของเรา

จาก“พันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมของโตโยต้า 2050” เรามุ่งมั่นบรรลุเป้าหมายลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็น “ศูนย์” ในทุกกิจการที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ โดยในระดับโลกเราได้ท้าทายตัวเองให้ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 90% เมื่อเทียบกับปี 2553 และที่ผ่านมาเราได้แนะนำยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น อาทิ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง เราเชื่อมั่นว่ารถยนต์เหล่านี้นำมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คน และสอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย 

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย คือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกในประเทศไทยที่ริเริ่มการผลิตรถยนต์ไฮบริด ด้วยการแนะนำรถยนต์คัมรี ไฮบริด ตั้งแต่ปี 2552 และตามมาด้วยรถยนต์ไฮบริดอีกหลากหลายรุ่น อาทิ พรีอุส         ซีเอชอาร์  โคโรลล่า อัลติส  และโคโรลล่า ครอส ซึ่งทุกรุ่นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย มียอดขายรวมทั้งสิ้นมากกว่า 100,000 คันในปัจจุบัน เป้าหมายของเราคือส่งเสริมให้มีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของภาครัฐและวางรากฐานอันแข็งแกร่งเพื่อนำไปสู่ยุคแห่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ การประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภาคส่วนต่างๆ ที่มีวิสัยทัศน์และจุดยืนเดียวกันกับเราจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่ง 

ในปัจจุบัน เรามีพันธมิตรที่ร่วมกระบวนการบริหารจัดการแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดใช้แล้วแบบครบวงจร หรือ “3R Scheme” ประกอบด้วย การใช้ซ้ำ (Re-use) การผลิตแบตเตอรี่เกรดใช้งานแล้วลูกใหม่ (Re-build) และการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) นอกจากนี้โตโยต้ายังสนับสนุนหลากหลายโครงการเพื่อพัฒนาแผนกลยุทธ์ในการส่งเสริมยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า โดยในขั้นตอนแรก เราได้สนับสนุนโครงการวิจัยร่วมกับบรรดามหาวิทยาลัย โดยมุ่งศึกษาแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เช่น ความต้องการของลูกค้า ผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้อง และข้อกำหนดที่จำเป็นต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยโครงการวิจัยดังกล่าวได้เสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และเราจะนำผลการศึกษาทั้งหมดไปหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ 

นอกจากนี้เดือนที่ผ่านมา เรายังได้ผนึกกำลังความร่วมมือกับเทศบาลเมืองพัทยา และโอซาก้า แก๊ซ เพื่อพัฒนา “โครงการการจัดตั้งเมืองที่ยั่งยืนโดยปราศจากมลภาวะ” ซึ่งเป็นโครงการสาธิตเพื่อนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหลากหลายรุ่นมาใช้งาน โดยตอบโจทย์วัตถุประสงค์ในการสัญจรที่หลากหลายภายในเมืองพัทยา   และจะยืนยันอีกครั้งว่าผลการศึกษาวิจัยของเราสามารถนำมาใช้งานจริงได้หรือไม่ เราหวังว่าผลของโครงการจะเป็นต้นแบบที่ดีสำหรับการต่อยอดในจังหวัดอื่นๆ ต่อไป 

ในฐานะ “องค์กรแห่งการขับเคลื่อน” เรายังจะเดินหน้ามอบประสบการณ์ที่ดียิ่งกว่าให้กับลูกค้าคนสำคัญของเรา โดยการร่วมมือกับบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง จำกัด และพันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลายเพื่อยกระดับการบริการของเรา และเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการในรูปแบบใหม่ในการที่จะพัฒนา เริ่มตั้งแต่ “ประสบการณ์การซื้อรูปแบบใหม่” (New Buying Experience) ผ่าน โครงการคินโตะ (KINTO) ซึ่งเป็นบริการเช่ารถของเราโดยเพิ่มตัวเลือกของรุ่นรถสำหรับให้เช่า และแพ็กเกจการให้บริการ พร้อมทั้ง “การอนุมัติสินเชื่อรถยนต์รูปแบบใหม่” (Connected Auto Loan) หรือ CAL ที่ทำให้ลูกค้าสามารถ “เป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้น” ผ่านระบบเทเลมาติกส์

นอกจากนี้ เรายังแนะนำแพลตฟอร์มใหม่ “โตโยต้า วอลเล็ท”(Toyota Wallet) กระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่อเพิ่มอิสระในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และตอบสนองต่อการใช้ชีวิตวิถีใหม่ในยุคหลังโควิด-19 ในการยกระดับ “ประสบการณ์การใช้งานรูปแบบใหม่” (New Usage Experience) เราได้นำเทคโนโลยี “T-Connect” เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรถรุ่นใหม่ๆ หลากหลายรุ่น อาทิ ไฮลักซ์ รีโว่  ฟอร์จูนเนอร์ใหม่  โคโรลล่า ครอส  และอินโนว่า คริสต้า โดยมี “ระบบติดตามรถหาย” “รายงานการเดินทาง” “ค้นหาตำแหน่งรถ” และ “บริการผู้ช่วยส่วนตัว” ยิ่งไปกว่านั้น “T-Connect” ยังมีบทบาทสำคัญในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเราได้แนะนำประกันภัยรูปแบบใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ “ประกันภัยขับดีลดให้” (Toyota Care PHYD) ซึ่งถือเป็นประกันภัยที่มอบความคุ้มค่า โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่เพื่อการคำนวณเบี้ยประกันภัย

มร.ยามาชิตะ ยังได้กล่าวอีกด้วยว่า “แม้ว่าโตโยต้าจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาดของโรคโควิด-19 เราก็ยังคงเดินหน้าสนับสนุนสังคมไทย ด้วยการดำเนินโครงการ “โตโยต้าเคียงคู่ไทย สู้ภัยโควิด-19” (Toyota Stay With You) ภายใต้ความร่วมมือกับผู้แทนจำหน่ายและผู้ผลิตชิ้นส่วนของเราทั่วประเทศ นอกจากนี้     เรายังมุ่งมั่นจะบรรลุภารกิจของเราที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่ “ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ผ่านการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท ด้วยโครงการ “โตโยต้า ถนนสีขาว” เรามุ่งมั่นที่จะสร้าง “สังคมคนขับรถดี” ด้วยการเพิ่มจำนวนผู้ขับขี่ที่มีทักษะสูง และเมื่อปีที่ผ่านมา เราได้ยกระดับหลักสูตรการขับขี่ปลอดภัยจากเดิมคือ “Safe Eco Driving Course” พัฒนาเป็นหลักสูตร “Toyota Mobility Driving Course” โดยที่ผ่านมา เราได้จัดการอบรมหลักสูตรดังกล่าวให้กับผู้เข้าร่วมทั้งหมด 5,000 คน ประกอบด้วยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป

นอกจากนี้ เรายังมี “โตโยต้า เมืองสีเขียว” เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมของโตโยต้าซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากกิจกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ ภายในโรงงานประกอบรถยนต์ของเรา เรามุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ของเราให้กับประชาชน เพื่อขยาย “โตโยต้า เมืองสีเขียว” ไปในภูมิภาคต่างๆ ร่วมกับผู้แทนจำหน่ายของเรา “โครงการโตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์” มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการดำเนินธุรกิจของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยหลักการของระบบการผลิตแบบโตโยต้า ในปีที่แล้วเราประสบความสำเร็จในโครงการปรับปรุงการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ให้กับธุรกิจท้องถิ่น 6 แห่ง และในปีนี้ เราจะดำเนินการสร้างศูนย์การเรียนรู้ใหม่จำนวน 3 แห่ง ทั่วประเทศ ตลอดจนขยายผลการดำเนินงานต่อเนื่องให้กับธุรกิจต่างๆ อีก 10 แห่ง

จากที่ได้กล่าวไปทั้งหมด เราขอแสดงความขอบคุณต่อภาครัฐ และลูกค้าของเราทุกท่านตลอดจนผู้มีส่วนร่วมทุกท่านที่ได้สนับสนุน “ทีมโตโยต้า ประเทศไทย” เป็นอย่างดีเสมอมา แม้เราจะอยู่ท่ามกลางช่วงเวลาอันยากลำบากก็ตาม ตามแนวทางของโตโยต้าในระดับโลกแล้ว ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางสำคัญในระดับภูมิภาคที่ทำหน้าที่ผลิตและส่งออกรถยนต์ของโตโยต้า และในฐานะที่เป็น “องค์กรแห่งการขับเคลื่อน” โตโยต้ามุ่งมั่นที่จะทุ่มเทความพยายาม เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น และเราขอให้คำมั่นว่าจะมอบความสุขที่เหนือระดับให้กับประชาชนชาวไทยทั้งในแง่ผลิตภัณฑ์ บริการ การดำเนินธุรกิจ และสังคม” มร.ยามาชิตะกล่าวในที่สุด

  • ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนธันวาคม 2563
  • ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 104,089 คันเพิ่มขึ้น 11.3%                               
  • อันดับที่ 1 โตโยต้า 33,197 คัน เพิ่มขึ้น      12.6% ส่วนแบ่งตลาด 31.9%
  • อันดับที่ 2 อีซูซุ 22,917 คัน เพิ่มขึ้น      45.3% ส่วนแบ่งตลาด 22.0%
  • อันดับที่ 3 ฮอนด้า 10,075 คัน เพิ่มขึ้น       5.6% ส่วนแบ่งตลาด  9.7%
  • ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 38,130 คันเพิ่มขึ้น 3.1%                               
  • อันดับที่ 1 โตโยต้า 8,811 คัน ลดลง     12.6% ส่วนแบ่งตลาด 23.1%
  • อันดับที่ 2 ฮอนด้า   8,378 คัน เพิ่มขึ้น   22.4% ส่วนแบ่งตลาด 22.0%
  • อันดับที่ 3 มาสด้า   3,475 คัน เพิ่มขึ้น    3.1% ส่วนแบ่งตลาด  9.1%
  • ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 65,959 คันเพิ่มขึ้น 16.7%                               

อันดับที่ 1 โตโยต้า 24,386 คัน เพิ่มขึ้น     25.7% ส่วนแบ่งตลาด 37.0%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 22,917 คัน เพิ่มขึ้น     45.3% ส่วนแบ่งตลาด 34.7%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 4,595 คัน เท่าเดิม ส่วนแบ่งตลาด  7.0%

  • ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) 

ปริมาณการขาย 51,516 คันเพิ่มขึ้น 14.4%                  

อันดับที่ 1 อีซูซุ 21,566 คัน เพิ่มขึ้น   46.9% ส่วนแบ่งตลาด 41.9% 

อันดับที่ 2 โตโยต้า  20,123 คัน เพิ่มขึ้น   17.5% ส่วนแบ่งตลาด 39.1%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด   4,595 คัน เท่าเดิม ส่วนแบ่งตลาด  8.9%

ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลงในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 7,512 คัน

อีซูซุ 2,806 คันโตโยต้า 2,709 คันมิตซูบิชิ 1,118 คันฟอร์ด 856 คันนิสสัน 23 คัน

 5.) ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 44,004 คันเพิ่มขึ้น 11.1%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 18,760 คัน เพิ่มขึ้น    34.9% ส่วนแบ่งตลาด 42.6%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 17,414 คัน เพิ่มขึ้น    16.4% ส่วนแบ่งตลาด 39.6%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด   3,739 คัน ลดลง       3.9% ส่วนแบ่งตลาด  8.5%

  • สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคมธันวาคม 2563

1.) ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 792,146 คัน ลดลง 21.4%                               

อันดับที่ 1 โตโยต้า 244,316 คัน ลดลง      26.5% ส่วนแบ่งตลาด 30.8%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 181,194 คัน เพิ่มขึ้น     7.7% ส่วนแบ่งตลาด 22.9%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า 93,041 คัน ลดลง   26.1% ส่วนแบ่งตลาด 11.7%

2.) ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 274,789 คัน ลดลง 31.0%                                 

อันดับที่ 1 ฮอนด้า 77,419 คัน ลดลง      19.5% ส่วนแบ่งตลาด 28.2%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 68,152 คัน ลดลง      42.1% ส่วนแบ่งตลาด24.8%

อันดับที่ 3 นิสสัน 27,120 คัน ลดลง      24.3% ส่วนแบ่งตลาด  9.9%

3.) ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 517,357 คันลดลง 15.1%                     

อันดับที่ 1 อีซูซุ 181,194 คัน เพิ่มขึ้น      7.7% ส่วนแบ่งตลาด 35.0%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 176,164 คัน ลดลง    17.9% ส่วนแบ่งตลาด 34.1%

อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 35,046 คัน ลดลง      29.0% ส่วนแบ่งตลาด  6.8%

4.) ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) 

    ปริมาณการขาย 409,463 คัน ลดลง 16.8%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 168,467 คัน เพิ่มขึ้น      10.0% ส่วนแบ่งตลาด 41.1%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 149,635 คัน ลดลง     21.9% ส่วนแบ่งตลาด 36.5%

อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 35,046 คัน ลดลง     29.0% ส่วนแบ่งตลาด  8.6%

ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลงในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน : 44,576 คัน

โตโยต้า 19,742 คันมิตซูบิชิ 9,342 คันอีซูซุ 8,139 คันฟอร์ด 5,343 คัน –  นิสสัน 1,338 คันเชฟโรเลต 672 คัน 

5.) ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 364,887 คันลดลง 15.5%

อันดับที่ 1 อีซูซุ       160,328 คัน เพิ่มขึ้น      11.6% ส่วนแบ่งตลาด 43.9%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 129,893 คัน ลดลง     21.5% ส่วนแบ่งตลาด 35.6%

อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ   25,704 คัน ลดลง     28.2% ส่วนแบ่งตลาด  7.0%