ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

By / 3 years ago / News / No Comments
ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

ในปี 2565

บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่
ราคาจำหน่าย: ราคาโดยประมาณ 4,300,000 – 4,500,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้)

บีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 4 สร้างนิยามใหม่ให้แก่สุนทรียภาพแห่งการขับขี่ในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมขนาดกลาง ผสมผสานทั้งความแข็งแกร่งทรงพลัง ความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ และตำนานสุดยอดความสปอร์ตของบีเอ็มดับเบิลยู ในดีไซน์ที่โดดเด่นสะดุดตาจากทุกมุมมอง หลอมรวมรูปลักษณ์ที่คุ้นเคยของรถสปอร์ตสองประตูและปรัชญาการดีไซน์ใหม่ที่ล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยครั้งนี้มาในรูปแบบการขับขี่แบบเปิดประทุนในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่


รูปโฉมด้านหน้ารถประกาศถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใครด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แนวตั้งขนาดใหญ่ที่ยาวลงมาใกล้ขอบกันชนหน้า ไฟหน้าทรงเรียวของบีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่ออกแบบให้ลากยาวไปถึงซุ้มล้อหน้า ระยะระหว่างล้อหน้าและส่วนหน้าสุดของรถสั้นปราดเปรียวยิ่งขึ้น โครงสร้างเสาได้รับการออกแบบให้เพรียวยิ่งขึ้นสอดรับกับความยาวของประตูและหน้าต่างไร้ขอบ รวมถึงแนวหลังคาที่ล้วนสะท้อนถึงความสง่างามของรถยนต์ซีรีส์ 4 คันนี้ ท้ายรถมอบความรู้สึกโฉบเฉี่ยวทรงพลังด้วยไฟท้าย LED ทรงเรียวยาวรูปตัว L พร้อมแต่งสีหม่นให้มาดขรึมอย่างทรงพลัง คาลิเปอร์เบรกดีไซน์ M Sport สีแดงเงา และชุดแต่ง M Aerodynamics ส่งให้รถเปิดประทุนคันนี้ดูโฉบเฉี่ยวมีสไตล์ยิ่งขึ้น ในขณะที่ระบบปลดล็อกประตูอัจฉริยะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายกว่าเคย หลังคาผ้าแบบอ่อนทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเพลิดเพลินไปกับสุนทรียภาพแห่งการขับขี่ได้ในทุกสภาพอากาศ


เบาะนั่งตอนหน้าดีไซน์ Sport และพวงมาลัยหุ้มหนัง M Sport มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในบีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่

คอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec และจอ Control Display ขนาด 10.25 นิ้ว มอบพื้นที่หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ ส่วนระบบช่วยโหลดสัมภาระ (Loading Assistant) ช่วยให้การจัดเก็บและขนย้ายสัมภาระในรถยนต์เปิดประทุนรุ่นนี้สะดวกสบายยิ่งขึ้น


บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo มอบสมรรถนะการขับขี่ได้เต็มพิกัด ส่งพละกำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ระหว่าง 1,550 และ 4,400 รอบต่อนาที จึงเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.2 วินาที ส่วนชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Sport Steptronic พร้อมช่วงล่าง M Sport ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มอบการควบคุมที่ปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น มาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว ลาย Double-Spoke แบบสลับสี
บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ล้ำสมัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop&Go ระบบช่วยการขับขี่ ระบบเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด และเซนเซอร์ควบคุมความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน นอกจากนี้ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่ ยังสามารถใช้ประโยชน์จากบริการด้านดิจิทัลผ่านหน้าจอ BMW Live Cockpit Professional

โดยสามารถตั้งค่าการแสดงผลต่าง ๆ ตามความชอบส่วนบุคคล หรือเลือกช่องทางในการเชื่อมต่อสื่อสารและควบคุมได้ตามความถนัด ทั้งผ่านจอ Control Display ระบบสัมผัส ระบบ iDrive ปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัย ระบบการสั่งงานด้วยเสียงที่มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon และเสริมความสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยระบบ BMW Intelligent Personal Assistant และการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดผ่านบริการ BMW ConnectedDrive

บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่ มาใน 4 สีตัวถัง ซึ่งรวมไปถึงสีดำ Black Sapphire สีขาว Mineral White สีเทา M Brooklyn Grey และสีน้ำเงิน Tanzanite Blue

บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ)
ราคาจำหน่าย: 5,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ เป็นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X6 เจเนอเรชั่นที่สาม ซึ่งประกอบขึ้นในประเทศไทย มาพร้อมกับดีไซน์อันเฉียบคมดุดันและภาพลักษณ์ที่สะท้อนถึงความมั่นใจ ทรงอำนาจและความแข็งแกร่ง ภายนอกมาพร้อมกับความยาวตัวรถที่ 4,935 มิลลิเมตร ความกว้างที่ 2,004 มิลลิเมตร และความสูงที่ 1,696 มิลลิเมตร ลดลง 6 มิลลิเมตร จากรุ่นก่อนหน้า ผสมผสานสัดส่วนที่ขยายออกอย่างปราดเปรียว เติมเต็มภาพลักษณ์ทรงพลังยิ่งขึ้น

กระจังหน้ารูปไตคู่ขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยกรอบที่เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียว ทำมุมรับกับไฟหน้าอย่างชัดเจนกว่าเดิม พร้อมไฟส่องสว่าง “Iconic Glow” มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

เสริมรูปลักษณ์ภายนอกให้หรูหราดูเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้น โดยแผงกระจังหน้าจะส่องแสงเมื่อเปิดหรือปิดประตูรถยนต์ แต่ผู้ขับสามารถสั่งเปิดหรือปิดไฟกระจังหน้าได้ด้วยตัวเองเช่นกัน รวมทั้งยังเปิดใช้ในขณะขับขี่ได้อีกด้วย

บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุดถึง 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้า ที่ 5,500 – 6,500 รอบต่อนาที จึงมอบแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 5,200 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ xDrive เจเนอเรชั่นล่าสุด ส่งแรงบิดแบ่งล้อหน้าและหลังได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการในแต่ละสถานการณ์ด้วยความแม่นยำและความเร็วที่มากยิ่งขึ้น การตอบสนองแบบสปอร์ตของบีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ ถูกเสริมด้วยช่วงล่างแบบถุงลมสามารถปรับระดับอัตโนมัติ ส่งให้ช่วงล่างทรงประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์แบบ เติมเต็มสุดยอดความปราดเปรียวและการขับขี่ที่สะดวกสบายบนท้องถนน ทั้งยังช่วยยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงแม้ในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

ด้านข้างตัวรถคงไว้ซึ่งสัดส่วนที่คุ้นเคยกันดีของบีเอ็มดับเบิลยูด้วยเส้นสายลากผ่านซึ่งระบุถึงตัวตนได้อย่างชัดเจนและหลังคาที่ทำองศาโค้งอย่างปราดเปรียว ล้ออัลลอย M น้ำหนักเบา ขนาด 22 นิ้ว ลาย Double Spoke แบบสลับสี มาพร้อมกับซุ้มล้อทรงแปดเหลี่ยมมน ส่วนช่องระบายอากาศสีเดียวกับตัวถังผสมผสานเข้ากับซุ้มล้อที่โดดเด่น เน้นย้ำรูปลักษณ์ภายนอกให้ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ส่วนท้ายรถของบีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ มอบเค้าโครงอันแข็งแกร่งด้วยเส้นสายตัวถังที่ทรงพลัง เสริมรูปลักษณ์แข็งแกร่งด้วยไฟท้าย LED ขนาดกว้างรูปตัว L ส่วนประตูท้ายรถผสานอย่างไร้รอยต่อเป็นหนึ่งเดียวกับเส้นแนวขวางของตัวถังได้อย่างกลมกลืน

ภายในห้องผู้โดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เอ็กซ์คลูซีฟและปราดเปรียวยิ่งขึ้น ดีไซน์บริเวณที่นั่งคนขับมาพร้อมกับการจัดวางแผงควบคุมแบบใหม่ที่ตอบรับกับปรัชญาอันโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยูซึ่งคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นสำคัญ

นอกจากนี้การออกแบบเบาะที่นั่งให้สูงขึ้นยังช่วยให้ผู้ขับขี่มีทัศนวิสัยในการขับขี่ได้อย่างครอบคลุมที่สุดอีกด้วย ด้านแพ็คเกจชุดแต่ง M Sport เสริมมาดความปราดเปรียวของบีเอ็มดับเบิลยู X6 รุ่นใหม่

ด้วยพวงมาลัยหุ้มหนังและเข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M ภายในยังตกแต่งดีไซน์ M ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เพดานหลังคาภายในสี Anthracite นอกจากนี้ยังมอบการใช้งานที่หลากหลายด้วยพนักพิงเบาะหลังแบ่งพับแบบ 40:20:40 ซึ่งสามารถพับเก็บเพื่อเพิ่มความจุของพื้นที่จากเดิม 580 ลิตร เป็น 1,530 ลิตร สำหรับอุปกรณ์เสริมไฮไลท์อื่นๆ ได้แก่ ฟังก์ชั่นสั่งงานระบบ iDrive ด้วยการเคลื่อนไหวมือ BMW Gesture Control ที่วางแก้วน้ำปรับอุณหภูมิพร้อมการชาร์จแบบไร้สาย หลังคากระจกแบบ Panorama Sky Lounge และระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon

นอกจากฟังก์ชันที่เพิ่มเติมมามากมาย ระบบภายในรถยนต์ยังทำงานอย่างทรงประสิทธิภาพในการเสริมความสะดวกสบายและความปลอดภัย อุปกรณ์มาตรฐานของบีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop&Go ด้านระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistant และระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ เสริมความสะดวกสบายและความปลอดภัยอันเหนือชั้น ระบบผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ BMW Intelligent Personal Assistant พร้อมมอบทุกความช่วยเหลือให้กับผู้ขับขี่ ส่วนระบบ BMW Live Cockpit Professional ในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ ผสมผสานหน้าจอแสดงผลรุ่นใหม่และแนวคิดการใช้งานเข้ากับระบบการเชื่อมต่อที่ครบครันกว่าใคร บนแผงหน้าปัดและจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว
รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ มาใน 3 สีตัวถัง คือสีดำ Black Sapphire, สี Manhattan Metallic และสีขาว Mineral White

บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ)
ราคาจำหน่าย: ราคาโดยประมาณ 6,100,000-6,300,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้)

บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ รถยนต์หรูในเซกเมนต์รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (SAV) เผยโฉมอีกหนึ่งรุ่นประกอบในประเทศ โดยสมาชิกรุ่นใหญ่ที่สุดในตระกูล X รุ่นนี้ หลอมรวมทั้งความคล่องตัว ความทรงพลัง และความโอ่อ่าเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งยังมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนชั้นเลิศ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายด้วยตัวรถที่กว้างขวางในทุกมิติบีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่

มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบรุ่นใหม่ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo และระบบ Mild Hybrid ขนาด 48 โวลต์ ส่งพละกำลังสูงสุด 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,250 รอบต่อนาที พร้อมโลดแล่นสู่ความเร็วสูงสุดที่ 243 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที เครื่องยนต์นี้ทำงานสอดประสานกับเกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ ช่วงล่างแบบถุงลมสามารถปรับระดับอัตโนมัติ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive จึงมอบความนุ่มสบายเหนือระดับ การควบคุมที่เฉียบคม และความปราดเปรียวอันทรงพลัง ขณะที่ระบบควบคุมช่วงล่าง Executive Drive Pro เสริมความมั่นใจด้วยเสถียรภาพที่เหนือกว่าในทุกจังหวะการขับขี่


และอีกหนึ่งไฮไลท์ของบีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ ยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ประกอบขึ้น ณ โรงงานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Mild Hybrid ขนาด 48 โวลต์ ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผ่านมาตรฐานยูโร 5 และรองรับสาร AdBlue ช่วยลดการปล่อยมลพิษได้มากกว่าเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไป โดยระบบ Mild Hybrid จะใช้การทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟขนาด 48 โวลต์ มาช่วยเสริมพละกำลังการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นอีกถึง 8 กิโลวัตต์ / 11 แรงม้า ส่งแรงทันใจโดยเฉพาะในช่วงออกตัวและจังหวะเร่ง ในขณะเดียวกันก็ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถลดไนโตรเจนออกไซด์ในไอเสียด้วยสาร AdBlue จึงทำให้บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่เร็วแรงทันใจและยังลดการปล่อยมลพิษได้อย่างเหนือชั้น
ดีไซน์ที่สง่างามของบีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ ได้รับการถ่ายทอดผ่านปรัชญา


การออกแบบที่ล้ำสมัยและเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู พร้อมเสริมรูปลักษณ์สปอร์ตทรงพลังด้วย
ชุดแต่ง M Sport ขณะที่ระบบท่อไอเสียในสไตล์ M Sport มอบเสียงเครื่องยนต์กังวานสอดประสานกับพละกำลังและความสง่างามของตัวรถ และเติมบุคลิกความแรงอย่างลงตัวด้วยเบรก M Sport และพวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M


รูปลักษณ์ภาพนอกประกาศถึงความทรงพลังบนท้องถนนด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ ขนาบข้างด้วยไฟหน้าล้ำสมัย BMW Laserlight เส้นสายการดีไซน์ที่เฉียบคมบนตัวถังขนาดใหญ่สะท้อนถึงความปราดเปรียว เรียบง่ายและบึกบึน มาพร้อมล้ออัลลอยน้ำหนักเบา BMW Individual ลาย Y-spoke แบบสลับสีขนาด 22 นิ้ว


ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเบาะนั่งแบบสามแถว รวม 7 ที่นั่ง ทุกที่นั่งสามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยสำหรับเบาะที่นั่งตอนหน้ายังมาพร้อมกับระบบระบายอากาศและฟังก์ชันนวดผ่อนคลาย เบาะที่นั่งบุด้วยหนังแท้ Merino เนื้อละเอียดจาก BMW Individual หรูหราขึ้นไปอีกขั้นด้วยการตกแต่งห้องโดยสารด้วยลายไม้สีดำเงา ‘Fineline’ แบบ metal effect มอบความภูมิฐานสง่างาม ตกแต่งภายในด้วยผลึกแก้ว ‘CraftedClarity’

พร้อมชุดไฟ Ambient light ชุดไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร เพดานแบบ Panorama glass roof Sky Lounge ที่เพิ่มความโปร่งอย่างโอ่อ่าเหนือระดับ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 5 โซน

และระบบความบันเทิงพร้อมจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังรุ่น Professional อีกสองจอ ส่วนห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมีปริมาตรความจุ 750 ลิตร และเพิ่มได้สูงสุดถึง 1,050 ลิตร เมื่อพับเบาะแถว 3 และแถว 2 ตามลำดับ ออกแบบมาเพื่อตอบทุกโจทย์การขับขี่


บีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ มอบความล้ำสมัยและความปลอดภัยยิ่งกว่าด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ใหม่ล่าสุด
ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติรุ่น Plus (Parking Assistant Plus) ระบบช่วยการขับขี่่ (Driving Assistant) และระบบความบันเทิงและสื่อสารรุ่นล่าสุดอย่าง BMW Live Cockpit Professional พร้อมจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว

ระบบ BMW ConnectedDrive และระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ซึ่งสามารถควบคุมผ่านระบบสั่งการด้วยเสียงได้อย่างง่ายดาย มอบความสะดวกสบายตามความต้องการของผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยูยังมุ่งมั่นในการปูรากฐานสู่อนาคตแห่งรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ด้วยฟังก์ชั่นอย่าง Reversing Assistant ซึ่งจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขับขี่ขณะถอยจอดหรือถอยออกจากที่แคบอัตโนมัติ เป็นส่วนหนึ่งของระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ Parking Assistant ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถถอยออกจากบริเวณที่มีพื้นที่แคบได้อย่างง่ายดายแม้จะมีมุมมองที่จำกัด โดยฟังก์ชั่นดังกล่าวจะจดจำองศาการเลี้ยวของพวงมาลัยขณะขับเข้าไปยังพื้นที่แคบด้วยความเร็วไม่เกิน 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนจะถอยรถออกมาตามเส้นทางเดิมได้เป็นระยะทางสูงสุด 50 เมตร ซึ่งระบบจะสามารถจดจำองศาการเลี้ยวดังกล่าวไว้ได้เป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถถอยออกจากที่จอดรถได้ แม้จะจอดทิ้งไว้ข้ามคืนหรือเป็นระยะเวลาหลายวัน
บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ มาให้เลือกในห้าสี ได้แก่ สีเทา Arctic Grey Brilliant Effect, สีดำ Black Sapphire Metallic, สีดำ Carbon Black Metallic, สีขาว Mineral White Metallic และสีน้ำเงิน Phytonic Blue

บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่
ราคาจำหน่าย: 4,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)
บีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่
ราคาจำหน่าย: 4,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)
ฟรี BMW Wallbox พร้อมติดตั้ง สำหรับลูกค้า 22 ท่านที่จองออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

ครั้งแรกของการผนวกความเพลิดเพลินในการขับขี่แบบปราศจากมลพิษกับรถยนต์นั่งขนาดกลาง บีเอ็ม
ดับเบิลยู i4 ถือเป็น Gran Coupé สี่ประตูที่ผสมผสานความโอ่อ่ากว้างขวางภายในตัวรถเข้ากับการใช้งานจริง พร้อมโลดแล่นบนท้องถนนกับความโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตซึ่งเป็นความโดดเด่นของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงคุณสมบัติหลากหลายที่ทำให้การเดินทางไกลอุ่นใจยิ่งขึ้น เอกลักษณ์ความพรีเมียมที่ถูกสะท้อนให้เห็นในระบบขับเคลื่อนและเทคโนโลยีแชสซีที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง รวมไปถึงการออกแบบที่หรูหรา มาตรฐานคุณภาพของวัสดุ และฝีมือในการผลิตอันเหนือชั้น ตลอดจนออปชันอีกมากมายที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย นอกจากนี้ ระบบควบคุมและระบบปฏิบัติการ BMW iDrive รุ่นใหม่ พร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยของระบบขับขี่และระบบการจอดอัตโนมัติ ยังช่วยเพิ่มสุนทรียภาพทางอารมณ์ในทุกประสบการณ์การขับขี่อีกด้วย
บีเอ็มดับเบิลยู i4 มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูที่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะการขับขี่อย่างแท้จริง ประกอบด้วยสองรุ่นย่อยคือ บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู M รุ่นแรกจาก M GmbH ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนปราศจากมลพิษ (อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 22.5 – 18 กิโลวัตต์ชั่วโมง / 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0 กรัม / กิโลเมตร) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวบริเวณเพลาหน้าและด้านหลังของรถ ส่งพลังได้ถึง 400 กิโลวัตต์ / 544 แรงม้า มอบความเพลิดเพลินในการขับขี่ได้ยิ่งกว่า ทั้งยังทำระยะวิ่งได้สูงสุดถึง 521 กิโลเมตร ตามมาตรฐานทดสอบ WLTP ด้านบีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ (อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 19.1 – 16.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง / 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0 กรัม/กิโลเมตร) ผสมผสานมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้า เข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลังแบบคลาสสิก มอบระยะวิ่งสูงสุดถึง 590 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP
แนวคิดการออกแบบยนตรกรรมของบีเอ็มดับเบิลยู i4 ตอบโจทย์ทั้งในด้านการขับขี่แบบสปอร์ตและความสามารถในการทำระยะทาง ด้วยเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนที่ทรงประสิทธิภาพ การออกแบบเน้นน้ำหนักเบาที่เสริมสมรรถนะให้ปราดเปรียวยิ่งขึ้น และระยะทางขับขี่ที่ทำได้ไกลยิ่งกว่า โดยไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่น้ำหนักมาก ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และประสบการณ์ที่ยาวนานในการพัฒนารถยนต์ระดับพรีเมียมสไตล์สปอร์ต ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู i4 มีความคล่องแคล่วปราดเปรียว ส่งพลังเร่งเครื่องได้อย่างเหนือชั้นเต็มกำลังรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ผลลัพธ์ที่ได้คือการขับเคลื่อนที่ทำได้อย่างง่ายดายแม้ขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย และการควบคุมที่แม่นยำ
ด้านมอเตอร์เน้นสมรรถนะทรงพลังด้วยแรงบิดที่สูง ยิ่งไปกว่านั้น บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่ ยังสามารถเข้าสู่โหมด Sport Boost ผ่านการดึงพลังงานมหาศาลภายในเวลาเพียงกว่าสิบวินาที ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งพละกำลังสูงสุดจากระบบขับเคลื่อนแล้ว ยังให้แรงบิดสูงสุดที่ 795 นิวตันเมตร จึงเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.9 วินาที ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ มาพร้อมกับแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 5.7 วินาที ประสบการณ์การขับขี่แบบสปอร์ตยังมาพร้อมกับเสียงอันทรงพลังที่ีตอบสองในจังหวะการเร่งเครื่องซึ่ง่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น นอกจากนี้ ระบบ BMW lconicSounds Electric ยังมาพร้อมกับเสียงประกอบต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์ผ่านความร่วมมือระหว่างบีเอ็มดับเบิลยูและ Hans Zimmer นักประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดัง
เทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 ยังประกอบด้วยแบตเตอรี่แรงดันสูงพร้อมด้วยเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด โดยมีความจุพลังงานแบตเตอรีแรงดันสูงที่ 83.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถชาร์จไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC) สูงสุดได้ที่ 205 กิโลวัตต์ ใช้เวลาประมาณ 31 นาที ในการชาร์จไฟจาก 10 – 80%
ช่วงหน้าของรถที่สั้นลง เสาทรงเพรียว ประตูพร้อมหน้าต่างแบบไร้ขอบ และหลังคาท้ายลาดที่ออกแบบมา
อย่างโฉบเฉี่ยวตามแบบฉบับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคูเป้ พร้อมระบบไฟหน้า BMW Laserlight และกระจังหน้าทรงไตคู่ของบีเอ็มดับเบิลยูที่มาพร้อมกับกล้องที่แฝงตัวอยู่ภายใน เซ็นเซอร์แบบเรดาร์และอัลตราโซนิก ล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติเด่นในส่วนหน้าของตัวรถ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่ ยังตกแต่งภายนอกด้วยวัสดุคาร์บอนดีไซน์ M พร้อมชุดแต่งวัสดุสีดำเงา BMW Individual คาลิเปอร์เบรก M Sport สีแดงเงา และโคมไฟหน้าสีดำ โดยภายในตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ มาพร้อมชุดแต่ง M Sport ภายนอกตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมแบบด้าน ภายในตกแต่ง ด้วยอะลูมิเนียมลาย Rhombicle Anthracite พร้อมแถบโครเมี่ยม บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่ ยังมาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว ลาย Double-Spoke แบบสลับสี ด้านบีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ มาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว ลาย Y-Spoke แบบสลับสี
ภายในห้องโดยสารเน้นการใช้งานสำหรับผู้ขับขี่ เสริมด้วยบรรยากาศแห่งความหรูหราระดับพรีเมียม พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ฝาท้ายขนาดใหญ่ที่ติดตั้งเป็นมาตรฐานมาพร้อมกลไกการเปิดและปิดแบบอัตโนมัติ ที่เก็บสัมภาระท้ายรถมอบความจุที่ 470 – 1,290 ลิตร เบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่ง แผงหน้าปัดรถยนต์หุ้มหนัง Sensatec เบาะนั่งบุหนังแท้ Vernasca ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน ชุดไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร รวมไปถึงระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon ช่วยเสริมที่สุดแห่งความเพลิดเพลินและความสะดวกสบายในระหว่างการขับขี่
จอแสดงผล iDrive ระบบควบคุมและระบบปฏิบัติการเจเนอเรชั่นใหม่ถูกนำมาติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู i4 และได้รับการพัฒนาให้การสั่งงานระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์เป็นไปอย่างคล่องตัวและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ผ่านระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ใหม่ล่าสุด โดยเน้นที่การใช้งานหน้าจอสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display และการสั่งการด้วยเสียงผ่านระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่ถูกพัฒนามาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หน้าจอดิจิทัล BMW Curved Display มาพร้อมจอแสดงข้อมูลขนาด 12.3 นิ้ว และจอควบคุมระบบสัมผัสขนาด 14.9 นิ้ว หน้าจอโค้งด้วยองศาที่รับกับมุมสายตาของผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ระบบผู้ช่วยส่วนตัวดิจิทัลยังมาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ ๆ และการใช้ภาพกราฟิกแบบใหม่เพื่อสื่อสารกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารบนรถอีกด้วย ระบบ Remote Software Upgrades ยังช่วยอัปเกรดให้ซอฟต์แวร์ของรถยนต์ยังคงทันสมัยอยู่เสมอ
หลากหลายระบบตัวช่วยถูกติดตั้งเพื่ออำนวยความสะดวกสบายและยกระดับความปลอดภัยในขณะขับขี่และเมื่อจอดรถ โดยไฮไลท์สำคัญในบีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่ คือระบบช่วยการขับขี่รุ่น Professional และระบบ Sport Boost ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ โดดเด่นด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop&Go และระบบช่วยการขับขี่ รถยนต์ทั้งสองรุ่นย่อยมาพร้อมกับระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติรุ่น Plus ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ระบบสร้างเสียงจำลองเตือนผู้ใช้ถนนรอบข้าง และกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง
บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่ และบีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ มาให้เลือกในสีดำ Black Saphire, สีขาว Mineral White, สีเทา Brooklyn Grey, สีน้ำเงิน Frozen Portimao Blue สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 และสี Portimao Blue สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport โดยมีจำหน่ายในจำนวนจำกัดในประเทศไทยเพียง 16 คันสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 และ 6 คันเท่านั้นสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport

บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)
ฟรี BMW Wallbox พร้อมติดตั้ง สำหรับลูกค้า 33 ท่านแรกที่จองออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ส่งพละกำลังสูงสุด 210 กิโลวัตต์/286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งโดดเด่นกว่ามอเตอร์ไฟฟ้าในรุ่นอื่น ๆ ด้วยความสามารถในการคงแรงบิดได้แม้ระหว่างรอบสูง โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับขี่สนุกอย่างอุ่นใจด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-actuator wheel slip limitation) ปริมาตรความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่การติดตั้งและน้ำหนัก ส่วนความจุพลังงานรวมอยู่ที่ 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยสามารถนำมาใช้งานได้สูงสุด 74 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อขับเคลื่อนให้บีเอ็มดับเบิลยู iX3 ขับขี่ได้ไกลถึง 460 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP และ 470 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC
เทคโนโลยีระบบชาร์จใหม่ล่าสุดเติมพลังงานสู่แบตเตอรี่ 400 โวลต์ และแหล่งจ่ายไฟ 12 โวลต์แก่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในรถ หากใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ สามารถชาร์จด้วยระบบไฟแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ และเมื่อชาร์จแบบรวดเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง จะรับพลังงานได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX3 ยังรองรับการชาร์จจาก 0 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ได้ภายใน 34 นาที มาพร้อมระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) แบตเตอรี่แรงดันสูงรุ่นล่าสุดที่ติดตั้งอยู่ใต้ตัวรถ ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงลงประมาณ 7.5 เซนติเมตร เมื่อเทียบกับ X3 รุ่นอื่น ๆ ระบบช่วงล่างแบบ Adaptive ปรับระดับด้วยไฟฟ้าตามสภาพถนนและสภาวะการขับขี่
ไฮไลท์ของบีเอ็มดับเบิลยู iX3 ยังอยู่ที่ดีไซน์ที่สื่อถึงความยั่งยืน กระโปรงหน้าและกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่มาในดีไซน์ปิดทึบ ท้ายรถมาพร้อมการออกแบบเพื่อลดแรงต้านอากาศ เบาะหลังพับได้แบบ 40 : 20 : 40 ช่วยเพิ่มปริมาตรการบรรจุสัมภาระจาก 510 ถึง 1,560 ลิตร เสริมความเอ็กซ์คลูซีฟด้วยระบบเสียง BMW IconicSounds Electric ซึ่งมาเป็นมาตรฐานสร้างทำนองเสียงไม่ซ้ำใครเมื่อสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์จากผลงานของ Hans Zimmer ล้อ M aerodynamic ขนาด 20 นิ้วแบบสลับสี ไฟหน้า Adaptive LED เสริมฉนวนกันเสียงที่ประตูหน้า และยังมีอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อเสริมความสะดวกสบายแบบพรีเมียมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบปลดล็อกประตู Comfort Access เบาะหนัง Vernasca ตอนหน้าดีไซน์แบบสปอร์ต จอ BMW Head-Up Display ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ และระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติรุ่น Plus พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ยกระดับความสะดวกสบายและความปลอดภัยแบบเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้นด้วยระบบ BMW gesture control ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon ระบบ BMW Live Cockpit Professional และ BMW Intelligent Personal Assistant
บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport มาให้เลือกใน 5 สี ได้แก่ สีดำ Carbon Black, สีขาว Mineral White, สีน้ำเงิน Phytonic Blue, สีแดง Piemont Red และสีเทา Sophisto Grey

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,450,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

เมื่อหกสิบปีที่แล้ว จอห์น คูเปอร์ ได้วางรากฐานตำนานแชมป์บนสนามแข่งให้กับรถยนต์มินิรุ่นคลาสสิค ด้วยการถ่ายทอดแนวคิดและนวัตกรรมยานยนต์ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ในการสร้างสรรค์รถยนต์ขนาดเล็กที่พกพาขุมพลังอย่างเต็มเปี่ยมในแบบฉบับมินิ และได้คว้าแชมป์ในสนามแข่งเป็นครั้งแรกในการแข่งขันสเน็ตเตอร์ตัน ลอมแบงก์ โทรฟี่ ด้วยหมายเลข 74 และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองตำนานกว่า 60 ปีกับครอบครัวคูเปอร์ มินิ จึงได้ประกาศเปิดตัวรถยนต์มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยผลิตมาในจำนวนจำกัดเพียง 740 คันทั่วโลก และมีจำหน่ายในประเทศไทยในจำนวนจำกัดเพียง 22 คันเท่านั้น
รถยนต์มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่ มาในสีตัวถังสีเขียว Rebel Green ตัดกับสีขาวของหลังคา มือจับประตู กระจกมองข้าง และกรอบไฟหน้า รวมถึงแถบสีขาวบริเวณฝากระโปรงหน้าพร้อมเส้นสายสีแดง อุปกรณ์อื่น ๆ บนตัวรถยังประกอบไปด้วย ล้อลาย John Cooper Works Circuit Spoke แบบสลับสี ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลต และสัญลักษณ์ “COOPER” แบบคลาสสิก ที่ติดอยู่บริเวณขอบประตู เสา C และแกนกลางพวงมาลัยหนังแบบสปอร์ต การตกแต่งภายนอกโดดเด่นด้วยหมายเลข 74 บริเวณฝากระโปรงและบานประตู
ภายในห้องโดยสารมาในสีดำ Piano Black พร้อมเบาะหนัง Dinamica แผงหน้าปัดสะดุดตาด้วยลายเซ็นจากสมาชิกสามเจเนอเรชั่นของครอบครัวคูเปอร์ ซึ่งรวมไปถึง จอห์น คูเปอร์, จอห์น ไมเคิล “ไมค์” คูเปอร์ ผู้เป็นลูกชาย, และหลานชายอย่าง ชาร์ลี คูเปอร์ และอีกหนึ่งความเอ็กซ์คลูซีฟของรถยนต์มินิรุ่นพิเศษนี้ ยังอยู่ที่ลายเซ็นของ จอห์น คูเปอร์ และลายมือที่เขียนว่า “1 of 740” และตัวอักษร “60 YEARS OF MINI COOPER – THE UNEXPECTED UNDERDOG” ปรากฏอยู่บริเวณกรอบประตู
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่ มีพละกำลังขับเคลื่อนจากขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ควบคู่กับโครงสร้างน้ำหนักเบาและเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8 จังหวะ ส่งกำลังสูงสุด 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร โลดแล่นจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.1 วินาที สู่ความเร็วสูงสุด 246 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่ มาพร้อมระบบนำทางแพ็คเกจ Navigation Plus ซึ่งประกอบด้วย จอขนาด 8.8 นิ้ว ระบบ Apple CarPlay จอภาพแสดงข้อมูลการขับขี่ Head-Up Display แท่นชาร์จไร้สาย และหน้าปัดดิจิทัล พร้อมด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบปลดล็อกประตูอัตโนมัติ สะดวกสบายด้วยระบบแฮนด์ฟรีผ่านบลูทูธ ระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉินอัจฉริยะ (E-Call) บริการ ConnectedDrive และ MINI Connected

มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,090,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

รถยนต์มินิเปิดประทุนสี่ที่นั่งรุ่นพิเศษมาพร้อมกับดีไซน์และอุปกรณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ มอบรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาสู่ท้องถนนในตัวเมือง สีตัวถังที่สร้างสรรค์มาให้ตัดเฉดกันอย่างลงตัวและการเลือกใช้วัสดุเน้นย้ำถึงการสร้างสีสันที่สดใหม่ เสริมเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนใครและความเพลิดเพลินอันเหนือชั้นให้กับผู้ขับขี่ รูปลักษณ์ภายนอกที่เตะตาและการตกแต่งภายในอย่างมีสไตล์ มอบที่สุดแห่งประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดประทุนอย่างเป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์มินิ
มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ ผสานสีตัวถังในสีเหลือง Zesty Yellow เข้ากับรายละเอียดสะดุดตาของดีไซน์การออกแบบที่เรียบง่ายแต่สื่อถึงความเป็นมินิกว่าที่เคย ตัวถังและกันชน
ในสีเหลืองสว่างสดใสและแถบบริเวณฝากระโปรงหน้าในดีไซน์เฉพาะที่มาพร้อมกับสีขอบที่ตัดกัน เสริมสไตล์ให้ด้านหน้าตัวรถโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าลายแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่และไฟหน้าทรงกลมฉบับมินิ กรอบไฟเลี้ยวด้านข้างดีไซน์ใหม่ล้อมกรอบสลักอักษร “Sidewalk” บ่งบอกความพิเศษในรถยนต์รุ่นนี้ ท่อไอเสียท้ายรถทั้งสองท่อล้อมรอบด้วยกันชนหลังที่มาในสีเดียวกับตัวถัง มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ โลดแล่นบนท้องถนนด้วยล้อ MINI Yours ลาย British Spoke แบบสองสีขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลตหลังคาเปิดประทุนในดีไซน์ Sidewalk สุดเอ็กซ์คลูซีฟช่วยปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารจากสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นฝนหรือแดดจ้า หลังคาผ้าแบบอ่อนเปิดปิดอัตโนมัติถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับรถยนต์มินิรุ่นนี้ โดยสามารถสั่งเปิดปิดด้วยไฟฟ้าได้อย่างเงียบเชียบในเวลาเพียง 18 วินาที


ภายในห้องโดยสารของมินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ โดดเด่นด้วยเบาะที่นั่งแบบ MINI Yours Leather Lounge Sidewalk ในสี Anthracite การออกแบบภายในตัวรถของมินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ สะท้อนการออกแบบในดีไซน์ Sidewalk บริเวณด้านล่างของพวงมาลัยหนังแท้มาพร้อมสัญลักษณ์ “Sidewalk” และรายละเอียดตะเข็บในสีที่ตัดกันอย่างเห็นได้ชัด ยังเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการออกแบบภายในห้องผู้โดยสาร


มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาดสองลิตร พร้อมเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280
นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุดที่ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถเร่งเครื่องจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.1 วินาที


ด้านระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วคงที่ พร้อมฟังก์ชันช่วยลดความเร็ว (Cruise Control with braking function) และระบบช่วยจอดอัตโนมัติ (Parking Assistant) ให้ถอยจอดได้สะดวกและมั่นใจแม้บริเวณพื้นที่แคบ โดยจะแจ้งผู้ขับขี่ผ่านทางหน้าจอ พร้อมบอกขั้นตอนการควบคุมเบรกและเปลี่ยนเกียร์ให้โดยอัตโนมัติ ล้ำสมัยด้วยฟีเจอร์การเชื่อมต่อ MINI Connected, เทคโนโลยี ConnectedDrive และระบบการควบคุมรถยนต์จากระยะไกล แพ็คเกจ Connected Navigation ซึ่งรวมไปถึงระบบนำทางพร้อมข้อมูลการจราจร Real-Time Traffic Information และระบบ Apple CarPlay ระบบเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ พร้อมแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่สุดพิเศษ มาให้ลูกค้าชาวไทยได้เป็นเจ้าของในจำนวนจำกัดเพียง 12 คัน เปิดจองผ่านช่องทางออนไลน์ทางเว็บไซต์ https://minionlinesales.com/ เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่

ราคาจำหน่าย: 1,310,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
สำหรับสี Triple Black และสี Racing Blue Metallic
1,420,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
สำหรับ Option 719 Mineral White Metallic

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ สี Triple Black บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ สี Racing Blue Metallic
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ มอเตอร์ไซค์ทัวริ่งที่มาพร้อมสมรรถนะเครื่องยนต์ทรงพลัง ผสานเข้ากับ
ความสะดวกสบายสำหรับการเดินทางไกลไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมสร้างประสบการณ์สุดประทับใจให้แก่เหล่าไบค์เกอร์บนทุกเส้นทาง มาพร้อมเครื่องยนต์บ็อกเซอร์อันเป็นเอกลักษณ์ระดับตำนานของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด สั่งจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบฟอกไอเสียแบบ closed-loop ชนิด
3 ทาง จึงพร้อมส่งแรงบิดเต็มกำลัง ขณะที่เทคโนโลยีระบบวาล์วแปรผันใหม่ BMW ShiftCam ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องยนต์ ก็ยังเสริมความแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบเหนือชั้นและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลว ขนาด 1,254 ซีซี ที่ได้รับการยกระดับให้สามารถส่งพละกำลังและแรงบิดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สามารถโลดแล่นได้อย่างราบรื่นแม้ขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ส่งกำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ / 136 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบต่อนาที เครื่องยนต์บ็อกเซอร์รุ่นใหม่นี้ยังโดดเด่นด้วยระบบไอเสียที่สามารถปล่อยมลพิษน้อยลง และประหยัดเชื้อเพลิง เติมเต็มสมรรถนะเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี BMW ShiftCam ที่เสริมความสมดุลของเพลาลูกเบี้ยวและจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ เพลาลูกเบี้ยวยังเปลี่ยนมาขับเคลื่อนด้วยห่วงโซ่ฟันแทนโซ่ส่งกำลังแบบเดิม ส่วนระบบหัวฉีดคู่และระบบไอเสียใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐานยูโร 5 ที่เน้นประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศ
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่หลากหลายสำหรับความต้องการที่แตกต่างของนักบิด โดยมาพร้อมโหมดใหม่ล่าสุด “Eco” ที่ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าที่เคย รวมถึงโหมด Rain, Road และ Riding Modes Pro ที่เพิ่มโหมดการขับขี่แบบโปร คือ Dynamic, Dynamic Pro และระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control Pro) เพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วย ระบบ Dynamic Traction Control และ Full Integral ABS Pro ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับระบบ Dynamic Brake Control (DBC) ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) และระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า หรือ Dynamic ESA นอกจากนี้
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยระบบ Dynamic Cruise Control (DCC) ร่วมกับ Active Cruise Control (ACC) ที่ช่วยควบคุมความเร็วคงที่ และยังสามารถรักษาระยะห่างจากคันหน้าได้อัตโนมัติ

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ สี Option 719 Mineral white metallic
ดีไซน์ของบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ ยังคงเน้นองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Adaptive ปรับทิศทางตามองศาเลี้ยว ระบบความบันเทิงล้ำสมัยด้วยหน้าจอ TFT แบบสีขนาด 10.25 นิ้ว แสดงผลระบบนำทางได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และช่องวางโทรศัพท์ที่สามารถป้องกันละอองน้ำ มีพัดลมระบายความร้อนในตัว และช่องเสียบ USB ผู้ขับขี่ยังสามารถเพลิดเพลินกับทุกการเดินทางด้วยระบบเสียง Audio System 2.0 มอบความบันเทิงที่เต็มอรรถรสยิ่งขึ้น
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ มาให้เลือกในสามสีสามสไตล์ ได้แก่ สีดำ Triple Black สีน้ำเงิน Racing Blue Metallic และสีขาว Option 719 ผสานตัวถังในสีสุดพิเศษ Mineral white metallic ที่เพิ่มความเงางามด้วยสีขาวเมทาลิกตัดกับล้อในสี White Aluminium แบบด้าน คาลิเปอร์เบรกสีทอง และองค์ประกอบสีดำอื่น ๆ ได้อย่างลงตัว มาพร้อมอุปกรณ์แต่งในแบบฉบับ Option 719 ได้แก่ ฝาครอบเครื่องยนต์พรีเมียมเสริมความโดดเด่นในสีเงิน เบาะนั่งมาในสีน้ำตาล เติมลูกเล่นด้วยลวดลายและการบุตะเข็บอย่างปราณีต สะท้อนถึงความหรูหราคลาสสิกของชุดแต่ง Option 719

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R ใหม่
ราคาจำหน่าย: 789,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R บิ๊กไบค์สายพันธุ์โรดสเตอร์ ต่อยอดความสำเร็จของมอเตอร์ไซค์ในตระกูล R สืบต่อยีนสายพันธุ์ของรถรุ่นพี่อย่าง S 1000 RR พร้อมการออกแบบในส่วนท้ายที่ชี้ขึ้น และส่วนหน้าที่กดต่ำลงอย่างดุดัน ด้านหน้าที่โดดเด่นและแผงกิลที่มีลักษณะเฉพาะ แผงแฟริ่งข้างลดทอนรูปทรงและสีที่คมชัดขึ้น พร้อมด้วยรูปลักษณ์ของรถโรดสเตอร์ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ผสมผสานกับไดนามิกในการขับขี่แบบซูเปอร์สปอร์ตอย่างแท้จริง
ในส่วนของเครื่องยนต์และแชสซีก็ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่น S 1000 RR ซูเปอร์สปอร์ต จึงให้การตอบสนองแบบไดนามิกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมกำลังสูงสุดที่ 165 แรงม้า มากับน้ำหนักเบาเพียง 199 กก. เสริมความปราดเปรียวและการควบคุมที่ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมกับระบบเบรก (ABS Pro) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Dynamic Traction Control (DTC) ระบบไฟ Full LED แบบจัดเต็มและอีกมากมาย พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่อีกครั้งในมอเตอร์ไซค์ตระกูลไดนามิค โรดสเตอร์
ตัวเครื่องยนต์ได้รับการปรับปรุงให้มีน้ำหนักเบาลงกว่ารุ่น S 1000 RR ถึง 5 กก. พร้อมปรับอัตราทดของเกียร์ให้เหมาะสม เครื่องยนต์ 4 สูบ 4 จังหวะ ขนาด 999 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำและน้ำมัน ให้กำลัง 165 แรงม้า ที่ 11,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 114 นิวตันเมตร ที่ 9,250 รอบต่อนาที ช่วงความเร็วของเครื่องยนต์กว้างขึ้น แน่นขึ้น ทำให้การขับขี่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยมอเตอร์ที่สามารถสร้างแรงบิดตามความเร็วที่ต้องการได้ นอกจากนั้น ตัวรถยังสามารถปรับปรุงอัตราทดเกียร์ 4, 5 และ 6 ให้ยาวขึ้นเล็กน้อย เพื่อลดระดับเสียงรบกวนและลดการใช้เชื้อเพลิง รวมไปถึงลดระดับความเร็วของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะในขณะที่ขับขี่ไปตามถนนในชนบท
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R รุ่นใหม่ยังมาพร้อมกับระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อหลังลื่นไถลเมื่อขับขี่ด้วยเกียร์ต่ำผ่านการควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R ยังมีเฟรมตัวถังแบบใหม่ Flex Frame เช่นเดียวกับในรุ่น S 1000 RR มาพร้อมกับสวิงอาร์มที่ห้อยอยู่ข้างใต้เพลาหลังและการออกแบบตามหลักการยศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ยังมีการลดน้ำหนักของแชสซีลงอย่างมาก เฟรมและสวิงอาร์มยังคงคล้ายคลึงกับรุ่น S 1000 RR แต่น้ำหนักเบาลงมาก ในขณะเดียวกัน เฟรมใหม่ที่ได้รับการออกแบบที่แคบลง จึงช่วยลดความกว้างของมอเตอร์ไซค์ในพื้นที่ที่มีการสัมผัสกับเข่าลงได้มาก ส่งผลต่อการขับขี่ที่ผ่อนคลาย พร้อมอิสระในการเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R มาพร้อมกับ โหมดการขับขี่ “Rain” และ “Road” และ Dynamic และ Dynamic Pro ที่สามารถปรับตั้งค่าระบบควบคุมการยกของล้อหน้า ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) ระบบควบคุมการออกตัว ระบบควบคุมความเร็วขณะเข้าพิท (Pitlane Limiter) ระบบ Hill Start Control Pro ได้เอง ส่วน Dynamic Brake Control หรือ DBC ช่วยให้เบรกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการตัดกำลังของเครื่องยนต์เมื่อเบรกในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้รถมีระยะเบรกสั้นลง ในขณะที่ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นคง
แผงหน้าปัดหน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว TFT ของ S 1000 R รุ่นใหม่ ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่น S 1000 RR เช่นกัน โดยเน้นการทำให้ผู้ขับขี่สามารถอ่านข้อมูลได้อย่างง่ายดาย หน้าจอจึงถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ เพื่อสามารถแสดงข้อมูลได้ครบถ้วนแม้ในสภาพแสงที่ไม่เอื้ออำนวย ผู้ขับขี่สามารถเลือกการแสดงผลหน้าจอที่ปรับเปลี่ยนตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น แสดงข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับการขับขี่บนท้องถนนปกติ ในขณะที่หน้าจอ Sport สามารถแสดงผล องศาการเอียงรถ การชะลอตัว และการควบคุมการยึดเกาะถนน นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานระบบนำทาง ผ่านแอปพลิเคชัน และสามารถสั่งการหน้าจอ TFT ได้อย่างสะดวกสบายโดยมัลติคอนโทรลเลอร์
ชุดไฟส่องสว่างของ S 1000 R รุ่นใหม่ ใช้เทคโนโลยี LED ที่ล้ำสมัย ไฟเลี้ยวและไฟท้ายที่ออกแบบใหม่ โดยมีฟังก์ชันไฟเบรก/ไฟท้ายในตัว ไฟเลี้ยวด้านหน้าซ่อนอยู่ในบริเวณแกนโช๊คด้านหน้า เพิ่มความปลอดภัยเมื่อขับขี่ในเวลากลางคืนด้วยไฟหน้าแบบ adaptive ที่ปรับทิศทางการส่องสว่างบนถนนตามองศาการเข้าโค้ง ช่วยให้การขับขี่ในเวลากลางคืนปลอดภัยยิ่งขึ้น
ด้วยความโดดเด่นของสีที่ตัดกัน ช่วยขับเน้นความสปอร์ตและไดนามิกของ S 1000 R ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น พร้อมรูปลักษณ์ที่เด่นสะดุดตาในสี Hockenheim silver metallic

บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ใหม่
ราคาจำหน่าย: ราคาโดยประมาณ 1,600,000-1,800,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้)

บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B มอเตอร์ไซค์แบ็กเกอร์ที่มอบทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางควบคู่ความ
ปราดเปรียวในการขับขี่ได้อย่างใจนึก พร้อมดึงดูดทุกสายตาบนท้องถนน บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B มาพร้อมกับงานออกแบบและสมรรถนะที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งอิสรภาพบนท้องถนน มอบทั้งความสง่างาม หรูหรา และพละกำลังที่เหลือล้น จนเติมรสชาติให้ทุกเส้นทาง
บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ใหม่ พร้อมโลดแล่นไปบนท้องถนนอย่างสง่างามด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ ที่มาพร้อมกับเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยาแบบใหม่ และมีการปรับเปลี่ยนระบบให้ลดอัตราการปล่อยมลภาวะตามเกณฑ์ EU5 ด้านสมรรถนะ สามารถให้พละกำลังได้สูงสุดถึง 160 แรงม้า ที่ 6,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงถึง 180 นิวตันเมตร ที่ 5,250 รอบต่อนาที ยกระดับความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความสะดวกสบายในการขับขี่ยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า (Dynamic ESA) รุ่น “Next Generation” ใหม่ล่าสุด ที่สามารถปรับระบบกันสะเทือนให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่และน้ำหนักบรรทุกได้โดยอัตโนมัติ จอแสดงผล TFT ขนาด 10.25 นิ้วมาพร้อมระบบนำทางที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนเส้นทางได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมระบบการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน
บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ใหม่ มาพร้อมกับการออกแบบสไตล์แบ็กเกอร์ ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ได้รับความนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยองค์ประกอบที่ลงตัวในฉบับของมอเตอร์ไซค์สไตล์ทัวริ่ง โดดเด่นและแตกต่างด้วยทรวดทรงที่ดูเพรียวลมและคล่องตัว ผสมผสานกับสัญญาณไฟท้ายที่ติดตั้งไว้เป็นส่วนหนึ่งของกระเป๋าสัมภาระทั้งสองข้างอย่างลงตัวตามฉบับอเมริกัน รวมไปถึง Floorboard ที่ทำให้ท่านั่งในการขับขี่สะดวกสบายยิ่งขึ้นอีกด้วย
อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ใหม่ มาในสไตล์โดดเด่นเฉพาะตัวด้วยชุดแต่ง Option 719 Midnight สะกดสายตาด้วยการตกแต่งในคอนเซ็ปต์กาแล็คซี ที่สร้างลวดลายด้วยระบบการพิมพ์แบบ water transfer printing method เสริมความดุดันนุ่มลึก สอดรับกับตัวถังสีดำ
นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยงามแล้ว มอเตอร์ไซค์คันนี้ยังมีเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับไบค์เกอร์ผู้หลงใหลในการท่องเที่ยว บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ใหม่ จึงมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานมากมายเพื่อเสริมประสบการณ์ในการขับขี่ให้คล่องตัวและราบรื่นยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบ ABS Pro, ระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ระบบ Keyless Ride ชุดเครื่องเสียงพร้อมรองรับระบบนำทางและ
บลูทูธ ระบบ Hill Start Control (HSC) ที่ช่วยให้สามารถสตาร์ทเครื่องบนทางลาดชันได้สะดวกยิ่งขึ้น ระบบ Gear Shift Assist Pro ที่เปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคลัทช์ พร้อมทั้งระบบทำความร้อนที่แฮนด์และเบาะ ระบบช่วยถอยหลัง และอื่น ๆ อีกมากมาย ให้คุณได้โลดแล่นสู่จุดหมายในท่วงท่าที่ทั้งสบายตัวและสง่างาม ท้าทายทุกสายตา