บีเอ็มดับเบิลยู เปิดมิติความเร้าใจจากทัพยนตรกรรม สายพันธุ์ M ใหม่หลากรุ่น
ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 42
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เตรียมนำแฟน ๆ เข้าสู่อีกหนึ่งการเดินทางสุดเร้าใจด้วยทัพยนตรกรรมใหม่ซึ่งสอดประสานความโดดเด่นด้านสมรรถนะ สไตล์ และนวัตกรรมล้ำสมัย ที่พร้อมสร้างความตื่นตาตื่นใจในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ 2021 นี้ ระหว่างวันที่ 24 มีนาคมถึง 4 เมษายน ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี นำทัพโดยการเผยโฉมเป็นครั้งแรกของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé ใหม่ ที่จะมาสร้างมาตรฐานใหม่ในด้านสมรรถนะสปอร์ต พร้อมเปิดตัวอีก 3 รุ่นใหม่ในสายพันธุ์ M Performance ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport บีเอ็มดับเบิลยู
X3 xDrive20d M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู BMW X4 xDrive20d M Sport X รุ่น M Performance Edition พร้อมเติมเต็มพลังสุดขีดด้วยสมาชิกใหม่ล่าสุดในตระกูลจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ กับมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน ใหม่ ยกทัพมาเติมความหลงใหลจากความสปอร์ตเร้าใจให้แก่แฟน ๆ ชาวไทย หลังจากที่ได้เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive30d M Sport บีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู M340i xDrive ใหม่ ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ใจเป็นสุข” ของการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ในครั้งนี้ สื่อถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านในโลกยนตรกรรมขณะนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากที่เราได้คว้าตำแหน่งผู้นำในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมในปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และ
ความเคลื่อนไหวของเราตลอดช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของเราในปีนี้คือการสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ลูกค้าชาวไทยอย่างไม่หยุดยั้ง”
“นอกจากนี้ ด้วยศักยภาพการเติบโตที่เด่นชัดของรถยนต์สมรรถนะสูงในตลาดไทย วันนี้เราจึงได้เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé ใหม่ เพื่อเป็นการตอบรับความหลงใหลในยนตรกรรมของลูกค้ากลุ่มนี้ หลังจากที่บีเอ็มดับเบิลยู M340i xDrive ใหม่ ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากหลังจากเปิดตัวยิ่งไปกว่านั้น เรายังเตรียมส่งความเร้าใจสายพันธุ์ M นี้ออกสู่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้นด้วยบีเอ็มดับเบิลยู 330e, X3, และ X4 ในรุ่น M Performance Edition สำหรับเราแล้ว ยนตรกรรมระดับพรีเมียมเปรียบเสมือนกับความท้าทายในการตอบโจทย์ทั้งด้านความหรูหราและสมรรถนะ ซึ่งล้วนเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ทุกรุ่นทุกคัน และงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่าเราสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
อีกหนึ่งไฮไลท์ใหม่ในครั้งนี้ คือการเปิดตัวแอปพลิเคชั่น My BMW และ MINI App เจเนอเรชั่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัดระหว่างรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูหรือรถยนต์มินิ และสมาร์ทโฟนโดยแอปใหม่นี้ มาพร้อมการใช้งานที่ง่ายดายยิ่งขึ้น สามารถแสดงข้อมูลของรถยนต์รวมทั้งควบคุมการทำงานฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของรถยนต์จากระยะไกล พร้อมนำสู่ประสบการณ์การเดินทางที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น
“แน่นอนว่าภารกิจในการพลิกโฉมประสบการณ์ยนตรกรรมสู่ช่องทางดิจิทัลของเรานั้น มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนสู่เทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่เรายึดมั่นตลอดมา ด้วยแอป My BMW และ MINI App ลูกค้าของเราจะสามารถใช้ประโยชน์จากฟังก์ชั่นต่าง ๆ เพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น เช่น การเปิดระบบปรับอากาศในรถยนต์จากระยะไกลเพื่อเตรียมอุณหภูมิที่เหมาะสมได้ตั้งแต่วินาทีแรกของการเดินทางและเรายังได้พัฒนาแอปดังกล่าวอีกมากมายเพื่อยกระดับประสบการณ์ในการขับขี่ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า หรือในกรณีที่รถยนต์อาจต้องรองรับผู้ขับขี่หลายคน ก็สามารถตั้งค่าตามความต้องการของผู้ขับขี่แต่ละคนได้ทันที เราตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้แนะนำฟังก์ชั่นล้ำสมัยต่าง ๆ จากแอปพลิเคชั่นใหม่นี้ให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย ซึ่งจะสามารถใช้งานได้ทั้งบนระบบ iOS และ Android ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้”
นอกจากรถยนต์รุ่นใหม่และรุ่นพิเศษที่เปิดตัวในครั้งนี้แล้ว ลูกค้าที่จองรถบีเอ็มดับเบิลยูผ่านบริการทางการเงินของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ภายในงานมอเตอร์โชว์ 2021 ยังจะได้รับข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟรี BSI Ultimate Package (5 ปี/100,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ประกันภัยชั้นหนึ่งนานสูงสุด 2 ปี พร้อมข้อเสนอเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ SME และอื่น ๆ อีกมากมาย
เตรียมเปิดตัวแอป My BMW และ MINI App เติมเต็มประสบการณ์ดิจิทัลสไตล์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิเต็มรูปแบบ
เร็ว ๆ นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะพร้อมมอบประสบการณ์ใหม่อีกครั้ง กับการผสานสมาร์ทโฟนและรถยนต์ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอป My BMW และ MINI App ซึ่งมาในดีไซน์ใหม่ใช้งานง่าย ยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ขึ้นไปอีกขั้น พร้อมบริการใหม่ ๆ ที่จะช่วยเสริมให้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นับเป็นอินเตอร์เฟสใหม่ที่ครอบคลุมการใช้งานรถยนต์อย่างรอบด้าน ซึ่งนอกจากจะแสดงข้อมูลและสถานะของรถ ทั้งสองแอปดังกล่าวยังสามารถควบคุมฟังก์ชันบางอย่างได้ในระยะไกล ไม่ว่าจะเป็นการหาตำแหน่งปัจจุบันของรถ การล็อกและปลดล็อกรถยนต์ หรือการเรียกดูมุมมองรอบตัวรถยนต์ผ่าน Remote 3D View สำหรับแอป My BMW ทั้งนี้ การใช้งานฟังก์ชั่นทางไกลขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่มากับตัวรถ
ด้านการหาเส้นทางทำได้อย่างง่ายดายขึ้นอีกขั้น ผ่านฟังก์ชัน Search บนแอป My BMW ที่สามารถส่งข้อมูลไปยังระบบนำทางในรถยนต์ได้โดยตรงอย่างสะดวกสบาย และยังสามารถส่งข้อมูลเส้นทางจากแอปอื่น ๆ สู่แอป My BMW ได้อีกด้วย โดยบนแผนที่จะแสดงผลการจราจรปัจจุบัน ปั๊มน้ำมันและจุดชาร์จไฟรถไฟฟ้ารวมถึงที่จอดรถ ลูกค้าจะยังได้รับการแจ้งเตือน Remote Software Upgrades ผ่านแอป My BMW ได้เช่นกัน โดยสามารถดาวน์โหลดอัปเกรดต่าง ๆ ได้ที่บ้านก่อนจะเชื่อมต่อและติดตั้งอัปเกรดดังกล่าวไปที่รถยนต์ Remote Software Upgrades จะช่วยให้รถยนต์ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7 ใหม่ล่าสุด สามารถรองรับฟีเจอร์ดิจิทัลใหม่ ๆ ได้เป็นประจำ และช่วยให้ซอฟต์แวร์ในรถยนต์ได้รับการอัปเดตตลอดเวลา
แอป My BMW ยังช่วยให้การติดตั้ง BMW Digital Key ที่เปลี่ยนให้ iPhone กลายเป็นเหมือนกุญแจรถได้อย่างง่ายดายในไม่กี่ขั้นตอน (สำหรับรถยนต์ที่มีอุปกรณ์รองรับคุณสมบัตินี้เท่านั้น) ซึ่งช่วยให้สามารถล็อกและปลดล็อกรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้โดยไม่จำเป็นต้องมีกุญแจรถ โดยรองรับผู้ใช้สูงสุดถึง 5 คน และยังสามารถเลือกมอบสิทธิ์การใช้งานแบบจำกัดและปรับได้ตามความต้องการของผู้ใช้ BMW Digital Key แต่ละคน เช่น การลดความเร็วสูงสุดในการขับขี่ จึงเหมาะสมกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นขับขี่รถยนต์ นอกจากนี้ แอป My BMW ยังมอบฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรวมไปถึงการแสดงข้อมูลภาพรวมระยะทางการขับขี่ในระบบไฟฟ้า สถานะการชาร์จ และประวัติการชาร์จไฟฟ้า ลูกค้ายังสามารถใช้ฟังก์ชัน Charge & Climate Timer เพื่อการชาร์จไฟฟ้าที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถตั้งเวลาการชาร์จไฟฟ้าและเวลาออกเดินทางได้ตามต้องการ ทั้งยังสามารถสั่งเปิดระบบปรับอากาศได้ล่วงหน้าผ่านแอปเพื่อความสะดวกสบายที่เหนือกว่า
ลูกค้ายังสามารถปรับการใช้งานรถยนต์ตามความต้องการกับบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นปัจจุบันรุ่นใดก็ได้โดยอัตโนมัติและรวดเร็ว เพียงเชื่อมต่อกับ BMW ID โดยแอป My BMW จะทำให้การล็อกอินเป็นไปอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพียงสแกน QR Code ก็สามารถถ่ายโอนข้อมูลผู้ใช้อย่างปลอดภัยโดยไม่จำเป็นต้องกรอก username และ password ทั้งยังเลือกเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ได้ผ่านแอปซึ่งจะปรากฏบนรถยนต์โดยอัตโนมัติอีกด้วย
แอป My BMW ยังเป็นช่องทางในการเข้าถึงอีโคซิสเต็มของบีเอ็มดับเบิลยูได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยนอกจากจะสามารถติดต่อ BMW Service Partners ได้โดยตรงแล้ว ยังสามารถตรวจสอบสถานะการเข้ารับบริการที่จำเป็นของรถยนต์และนัดหมายเข้ารับบริการได้ผ่านแอป ทั้งยังสามารถติดต่อ BMW Roadside Assistance ได้หากพบปัญหาเกี่ยวกับรถยนต์ โดยเมื่อได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ เจ้าหน้าที่จะสามารถระบุตำแหน่งและสถานะของรถยนต์ได้ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นได้อย่างทันที ในขณะเดียวกัน ลูกค้ายังสามารถติดตามประวัติการรับบริการของรถยนต์ ทั้งยังสามารถเข้าถึง BMW ConnectedDrive Store และ BMW Online Shop ได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย
สำหรับ MINI App ยกระดับการใช้งานให้สะดวกง่ายดายขึ้นอีกขั้นด้วยดีไซน์แอปใหม่ที่จัดคอนเทนต์ต่าง ๆ อยู่ใน 3 หน้าหลัก ได้แก่ Vehicle, Map และ Profile เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า นับตั้งแต่การเชื่อมต่อระบบนำทางได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยให้แชร์เส้นทางไปยังจุดหมายปลายทางจากแอปในสมาร์ทโฟนไปยังระบบนำทางในรถได้อย่างง่ายดาย สถานะต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับรถยังแสดงผลบนหน้าแอปพร้อมให้ผู้ใช้งานควบคุมตัวรถจากระยะไกลได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น การล็อกหรือปลดล็อกประตูรถ ความดันลมยาง หรือการเข้ารับบริการบำรุงรักษา ซึ่งหากเกิดความผิดปกติกับรถยนต์และจำเป็นต้องเข้ารับบริการจากช่างผู้เชี่ยวชาญ ลูกค้าสามารถนัดหมายกับผู้จำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการได้ทันทีผ่านแอป MINI พร้อมเปิดรับการแจ้งเตือนที่เกี่ยวข้องกับบริการต่าง ๆ เช่น การเติมน้ำมันเครื่องหรือผ้าเบรก เพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ลูกค้า และเช่นเดียวกับ My BMW App ผู้ใช้งานสามารถควบคุมการระบบปรับอากาศในรถผ่านแอปได้จากระยะไกล เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง
ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิสามารถทดลองใช้แอป My BMW และ MINI App ซึ่งจะเข้ามาแทนที่แอปBMW และ MINI Connected ได้ที่บูธบีเอ็มดับเบิลยูและมินิภายในงานมอเตอร์โชว์ 2021 และสามารถดาวน์โหลดแอปได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ Google Play Store และ Apple App Store ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2564 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป
ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิรุ่นใหม่
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé ใหม่
ราคาจำหน่าย: 9,999,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé ใหม่ หลอมรวมจิตวิญญาณแห่งความทรงพลัง ความคล่องตัวและความเร้าใจจากวิศวกรรมขั้นสูงของบีเอ็มดับเบิลยู M มาพร้อมสมรรถนะอันโดดเด่นตามแบบฉบับรถแข่งพันธุ์แท้ ถ่ายทอดสู่รูปแบบของการขับขี่ในชีวิตประจำวันที่เปี่ยมล้นด้วยพละกำลังเหนือชั้น ตอบสนองความหลงใหลด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์และแชสซีชั้นเลิศ เอกลักษณ์การดีไซน์ที่ตรึงใจ และระบบการขับขี่ใหม่ต่าง ๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับรถยนต์สายพันธุ์ M อย่างแท้จริง
ขุมพลังที่เป็นหัวใจหลักของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé ใหม่ ผสานพลังจากเครื่องยนต์เบนซินรอบสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ในตระกูล M เข้ากับสมรรถนะจากเทคโนโลยี M TwinPower Turboรุ่นใหม่ล่าสุด มาในขนาด 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียง มอบแรงบิดเต็มสูบสูงถึง 650 นิวตันเมตร ที่ 2,750 – 5,500 รอบต่อนาที ส่งพละกำลังเร้าใจที่ 375 กิโลวัตต์ / 510 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที พร้อมพุ่งทะยานจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.9 วินาที สู่ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำงานควบคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ M Steptronic Sport พร้อม Drivelogic ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เกิดการสูญเสียกำลัง ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมผ่านคันเกียร์ M หรือแป้นเปลี่ยนเกียร์บริเวณพวงมาลัย
องค์ประกอบสำคัญที่สร้างความปราดเปรียว คล่องตัว และการควบคุมที่เฉียบคมให้แก่รถยนต์ในตระกูล M คือโครงสร้างตัวถังและแชสซีอันแข็งแกร่ง เสริมประสิทธิภาพด้วยระบบช่วงล่าง Adaptive M พร้อมโช้คอัพที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพลาหน้าและเพลาท้ายยืดหยุ่นด้วยการตั้งค่าตามหลักจลนศาสตร์ของรุ่น M และยังมาพร้อมระบบ M Servotronic ช่วยปรับกำลังพวงมาลัยให้เหมาะสมกับความเร็วแต่ละช่วงของการขับขี่ เพิ่มประสิทธิภาพการชะลอความเร็วด้วยระบบเบรก M compound ที่มอบการตอบสนองอย่างทันใจ สร้างประสบการณ์ขับขี่สไตล์สปอร์ตอย่างไร้ขีดจำกัดยิ่งขึ้นด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ M Dynamic Mode ช่วยให้ดริฟท์รถได้อย่างถึงใจยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé ใหม่ ยังได้รับการติดตั้งระบบ M Drive Professionalที่พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเสริมสัมผัสที่เร้าใจยิ่งขึ้นขณะขับขี่ในสนามแข่ง โดยมาพร้อมระบบ M Traction Control ที่ปรับระดับระบบป้องกันล้อหมุนฟรีได้ถึง 10 ระดับตามความต้องการของผู้ขับขี่ก่อนสั่งการให้ DSC ทำงาน และยังครอบคลุมถึงระบบ M Drift Analyser ที่สามารถบันทึกและวิเคราะห์คะแนนความแม่นยำในการเข้าโค้งของผู้ขับขี่ พร้อมระบบ M Laptimer ช่วยบอกเวลาการขับขี่ต่อรอบ รวมถึงข้อมูลการขับขี่อื่น ๆ ในสนามแข่ง บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé ใหม่ ยังมาพร้อมระบบเฟืองท้าย M Sport และล้ออัลลอย M Forged ลาย Double-spoke แบบสลับสี ขนาด 19 นิ้้ว ในล้อหน้า และ 20 นิ้วในล้อหลัง
ดีไซน์โฉมใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé สะท้อนถึงความทรงพลังอันโดดเด่นและความหลงใหลในการขับขี่ยิ่งกว่าที่เคย สะกดสายตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แนวตั้งขนาดใหญ่ตัดกับซี่แนวนอนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเฉพาะสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู M สอดรับกับซุ้มล้อที่มีเส้นสายหนักแน่นพร้อมช่องระบายอากาศด้านข้างสไตล์ M กาบข้างพร้อมชิ้นส่วนในสไตล์เดียวกันบริเวณกระโปรงหน้าและท้ายรถ เสริมการตกแต่งที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่ง M Carbon ซึ่งประกอบไปด้วยหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์พร้อมครีบเสริมประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ ฝาครอบกระจกข้าง กาบข้าง และสปอยเลอร์หลังในวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และยังมาพร้อมท่อไอเสียแบบคู่ ไฟหน้า Adaptive LED พร้อมระบบ BMW Laserlight
ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยลวดลายเส้นสายที่เด่นชัด เข้ากันอย่างลงตัวกับการออกแบบที่ตอกย้ำถึงความเอาใจใส่ในความสะดวกสบายและสุนทรียภาพในการขับขี่ โดยบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé มาพร้อมเบาะนั่่ง M carbon ทรง bucket เป็นครั้งแรก ซึ่งรวมเอารูปแบบเบาะที่นั่งของรถแข่งเข้าไว้กับโครงสร้างคาร์บอนน้ำหนักเบา แต่ยังคงเน้นย้ำความสะดวกสบายสำหรับการขับขี่ระยะไกล รายละเอียดตะเข็บเย็บแสดงถึงประณีตบรรจงของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ มาพร้อมพนักพิงศีรษะที่สามารถถอดเก็บได้สำหรับการขับขี่ในสนามแข่งและตราสัญลักษณ์ M เรืองแสง สามารถปรับไฟฟ้าได้ และยังมาพร้อมเข็มขัดนิรภัยที่รองรับการยึดแบบหลายจุด เสริมความปลอดภัยมั่นคงตามแบบฉบับรถแข่ง ปุ่ม M Mode บริเวณคอนโซลกลางใช้สำหรับตั้งค่าการตอบสนองและรูปแบบของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่าง ๆ ส่วนมาตรวัดและจอ BMW Head-up Display แสดงข้อมูลระหว่างการขับขี่ในสภาวะต่าง ๆ ตามสไตล์ M นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ ROAD, SPORT และ TRACK สำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé มาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ล้ำสมัยอย่างครบครัน ช่วยให้การขับขี่ในสภาวะต่าง ๆ ง่ายดายยิ่งขึ้น เช่น เซนเซอร์ควบคุุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ระบบเตือนออกนอกช่องทางเดินรถ ตลอดไปจนถึงระบบ Driving Assistant และ Parking Assistant รุ่น Plus สำหรับระบบบันเทิงและสื่อสาร ทำงานบนระบบ BMW Live Cockpit Professional จอแสดงผลแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมระบบนำทางที่ดึงข้อมูลจากระบบคลาวด์ BMW Maps และ BMW Intelligent Personal Assistant
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé ใหม่มาให้เลือกใน 3 สีใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ได้แก่ สีเหลือง Sao Paulo Yellow non-metallic, สีแดง Toronto Red metallic และสีเขียว Isle of Man Green metallic
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport (M Performance Edition)
ราคาจำหน่าย: 3,859,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
อีกหนึ่งรุ่นใหม่ที่มาร่วมทัพยนตรกรรมเร้าใจสไตล์รถแข่งครั้งนี้ ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู X3 เจเนอเรชั่นที่ 3 เสริมความสปอร์ตเต็มพิกัดยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่ง M Performance โดยมาพร้อมล้ออัลลอย M Performance ขนาด 21 นิ้ว ลาย Y-spoke รูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นด้วยชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ ได้แก่ ฝาครอบกระจกข้าง และกาบบันไดพร้อมไฟส่องสว่าง สอดรับกับสปอยเลอร์หลังสีดำเงา เสริมความพิเศษสะดุดตาด้วยสติกเกอร์แต่งรถ M Performance บนกันชนหน้าและสติกเกอร์แต่งรถ BMW M แบบ tri-color ทั้ง 2 ข้างของตัวถัง ตอกย้ำถึงเอกลักษณ์ความสปอร์ตของบีเอ็มดับเบิลยู X3 กว่าที่เคย
นอกจากชุดแต่ง M Performance แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport (M Performance Edition) ยังมาพร้อมชุดตกแต่ง M Sport รอบคัน ประกอบด้วย ชุดแต่ง M Aerodynamics และขอบหน้าต่างและราวหลังคาสีดำเงา ภายในรถตกแต่งด้วย Aluminium Rhombicle trim finishers ตัดกับ Pearl Chrome พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ M Sport พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ เสริมด้วยพรมปูรองพื้น M Performance และยังเสริมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ และกล้องมองหลัง เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและแม่นยำในทุกเส้นทาง
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport (M Performance Edition) ยังมาพร้อมช่วงล่าง M Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลทรงพลัง 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Steptronic ให้กำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 8 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 213 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 17.6 กิโลเมตรต่อลิตร และระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ยที่ 150 กรัมต่อกิโลเมตร ขณะที่ระบบควบคุมการขับขี่ขณะเข้าโค้ง (Performance Control) ช่วยยกระดับการควบคุมพลังลงสู่แต่ละล้อให้เฉียบคมและมั่นคงยิ่งขึ้น
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport (M Performance Edition) มาพร้อมปุ่มควบคุม iDrive และสั่งงานด้วยระบบสัมผัส จอแสดงผลภาพความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ระบบการสั่งงานอัจฉริยะ BMW Gesture Control ที่สามารถควบคุมระบบนำทางและระบบบันเทิงสื่อสาร ผ่านการเคลื่อนไหวของมือ และการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานโดยใช้ภาษาพูดในชีวิตประจำวันแทนที่การใช้ชุดคำสั่งที่กำหนดมา นอกจากนี้ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารยังสามารถเพลิดเพลินกับระบบเสียง HiFi Loudspeaker เพื่อการเดินทางที่สุนทรีย์ยิ่งขึ้น
บีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport X (M Performance Edition)
ราคาจำหน่าย: 4,199,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
บีเอ็มดับเบิลยู X4 หวนกลับมาอีกครั้งกับหลังคาลาดต่ำสไตล์คูเป้อันเป็นเอกลักษณ์ แต่ขับเน้นความสปอร์ตให้เร้าใจยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่ง M Performance ที่ได้แรงบันดาลใจจากโลกมอเตอร์สปอร์ต บีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport X (M Performance Edition) เสริมลุคด้วยฝาครอบกระจกข้างและกาบบันไดคาร์บอนไฟเบอร์ ครีบหางมาในสีดำเงา โฉบเฉี่ยวด้วยล้ออัลลอย M Performance ขนาด 21 นิ้ว ลาย Y-spokeโดดเด่นด้วยกลิ่นอายรถแข่งบนทุกเส้นทางด้วยสติกเกอร์แต่งรถ BMW M แบบ tri-color ทั้งสองข้างของตัวรถ
นอกจากชุดแต่ง M Performance แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport X (M Performance Edition) ยังโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่ง M Sport X ที่หลอมรวมกลิ่นอายความสปอร์ตและสมรรถนะออฟโรดเข้าไว้ได้อย่างลงตัว สร้างความสะดุดตาด้วยสเกิร์ตและซุ้มล้อสี Frozen Grey ไฟหน้า Adaptive LED พร้อมระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam Assistant) หลังคาลาดต่ำสไตล์คูเป้โดดเด่นด้วยกระจกพาโนรามาที่สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ดีไซน์ภายนอกพิเศษยิ่งขึ้นด้วยองค์ประกอบสี Frozen Greyตัดกันอย่างลงตัวกับวัสดุสีดำเงา BMW Individual high-gloss Shadow Line
ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบพร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo บีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport X (M Performance Edition) มอบพละกำลังสูงสุดที่ 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาที จึงเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 8 วินาที ก่อนทะยานสู่ความเร็วสูงสุดที่ 213 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้สมรรถนะที่คล่องตัวในทุกสภาพท้องถนนด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ทำงานควบคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ และด้วยเทคโนโลยี BMW EfficientLightweight บีเอ็มดับเบิลยู X4 จึงมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.30 ซึ่งนับว่ายอดเยี่ยมที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ภายในเซกเมนต์เดียวกัน
บีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport X (M Performance Edition) เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมการขับขี่ล้ำสมัยอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อเสริมสมรรถนะทั้งออนโรดและออฟโรด ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop&Go (Active Cruise Control with Stop&Go) ระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant) ระบบควบคุมการขับขี่ขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control) ระบบช่วยนำรถเข้าที่่จอดอัตโนมัติรุ่น Plus (Parking Assistant Plus) รวมทั้งระบบความปลอดภัยอีกมากมาย เช่น เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่่อเกิดการชน (Crash Sensor) ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่่อยล้าขณะขับขี่่ (Attentiveness Assistant) และเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง
ภายในห้องโดยสารยังคงผสานภาพลักษณ์ของความแข็งแกร่งเข้ากับความหรูหราสง่างามไว้ได้อย่างลงตัวมาพร้อมพรมปูรองพื้น M Performance เบาะที่นั่งแบบสปอร์ตหนังแท้ Vernasca พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นM Sport พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ แผงคอนโซลหุ้มหนัง Sensatec ตกแต่งภายในด้วย Aluminium Rhombicle Dark พร้อมแถบโครเมียม มอบความหรูหราด้วยชุุดไฟ Ambient Light สะดวกสบายด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน และพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีความจุถึง 525 – 1,430 ลิตร
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport X (M Performance Edition) ยังมาพร้อมระบบความบันเทิงและการสื่อสารต่าง ๆ อีกมากมายที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่ โดยทั้งหมดควบคุมด้วยระบบ ปฏิบัติการล่าสุด BMW Operating System 7.0 และครบครันด้วยคุณสมบัติมากมาย ทั้งระบบ BMW Live Cockpit Professional เทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัด BMW ConnectedDrive ระบบ iDrive ระบบการสั่งการด้วยเสียงและ BMW Gesture Control จอแสดงผลการขับขี่ขนาด 12 นิ้ว หน้าจอ Control Display ระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว และระบบจอภาพแสดงข้อมูลการขับขี่ (BMW Head-up Display)
บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport (M Performance Edition)
ราคาจำหน่าย: 2,999,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ปลั๊กอินไฮบริดในรุ่นพิเศษที่มีจำนวนจำกัดเพียง 15 คันนี้ ไม่เพียงเป็นยนตรกรรมที่สื่อถึงวิสัยทัศน์แห่งความยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังผสานความหลงใหลในความเร้าใจจากสนามแข่งไว้ได้อย่างลงตัวด้วยชุดแต่ง M Performance ด้านหน้าตัวรถประกาศถึงเอกลักษณ์ที่เหนือระดับด้วยกระจังหน้า Iconic Glow ที่เปล่งแสงสว่างตั้งแต่ปลดล็อกรถไปจนถึงสตาร์ทเครื่องยนต์ และตั้งแต่ดับเครื่องไปจนล็อกรถ สร้างประสบการณ์เฉพาะตัวในการขึ้นรถและลงรถด้วย ไฟ LED โปรเจคเตอร์ฉายโลโก้บีเอ็มดับเบิลยูติดบริเวณประตูรถ เสริมความสปอร์ตด้วยชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ ได้แก่ ฝาครอบกระจกข้าง สปอยเลอร์หลัง และดิฟฟิวเซอร์หลัง ร่วมกับลิ้นกันชนหน้าซ้ายและขวา เน้นย้ำถึงความหรูหราเหนือระดับควบคู่ไปกับการขับขี่สไตล์สปอร์ต
บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport (M Performance Edition) สืบทอดรูปโฉมที่ทันสมัยและปราดเปรียวของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ซีดาน ใหม่ ด้วยเส้นสายที่แข็งแกร่งและคมชัด ด้านหน้าของตัวรถคือกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ในกรอบที่เชื่อมกับไฟหน้าคู่ LED ทรงเรียวยาว ส่งเสริมรูปลักษณ์ความสง่าแบบรถสปอร์ตให้โดดเด่นด้วยดีไซน์แบบ Hofmeister Kink อันเป็นเอกลักษณ์ด้วยกรอบหน้าต่างที่ได้รับการออกแบบให้เป็นหนึ่งเดียวกับเสา C-pillar พร้อมด้วยไฟท้ายดีไซน์ใหม่เรียวยิ่งขึ้นในรูปทรง L แนวนอนสีหม่นแบบสามมิติ
และท่อไอเสียแบบคู่ให้ท้ายรถดูกว้างและสปอร์ตกว่าเดิม โดยในรุ่น M Performance Edition มาพร้อม
ล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว ลาย Double-spoke
บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport (M Performance Edition) ได้ยกระดับการขับเคลื่อนอันน่าประทับใจของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ซีดาน ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วย XtraBoost ฟังก์ชั่นใหม่ที่จะเผยสมรรถนะสูงสุดของรถยนต์ออกมา บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร มาพร้อมกับเทคโนโลยี TwinPower Turbo และมอเตอร์ไฟฟ้า มอบพละกำลังสูงสุด 215 กิโลวัตต์ / 292 แรงม้า และสามารถเพิ่มกำลังส่งในการเร่งความเร็วได้มากยิ่งขึ้นในโหมด SPORT เพียงเหยียบคันเร่งเพื่อกระตุ้น
การทำงานของ XtraBoost และปลดปล่อยพละกำลังเสริมมากถึง 30 กิโลวัตต์ / 40 แรงม้า ภายในเวลาเพียง 10 วินาที ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.9 วินาที ต่อเนื่องไปจนถึงความเร็วสูงสุด 230 กม./ชม.
ในโหมดการขับขี่แบบ HYBRID ของบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport (M Performance Edition) สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 110 กม./ชม. ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้า 30 กม./ชม. โดยใช้เพียงพลังงานไฟฟ้าก่อนสลับไปเป็นการใช้พลังงานเครื่องยนต์ ขณะเดียวกันในโหมด ELECTRIC ซึ่งเป็นโหมดการขับขี่แบบไร้มลพิษ สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 140 กม./ชม. มากกว่ารุ่นเดิมที่ทำได้ 120 กม./ชม. บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ยังได้ปรับปรุงอัตราการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าปลอดมลพิษให้มากกว่ารุ่นก่อน 50 เปอร์เซ็นต์ ในระยะทางขับขี่สูงสุดที่ 55-68 กิโลเมตร ในขณะเดียวกันยังลดการใช้อัตราการสิ้นเปลืองและการปล่อยมลพิษในโหมดขับขี่อื่น ๆ ได้มากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ระบบสร้างเสียงจำลองเพื่อให้ผู้ใช้ทางเท้าได้ยินจะถูกเปิดใช้ในขณะขับขี่ด้วยระบบพลังงานไฟฟ้าเพื่อส่งเสียงเตือนผู้ใช้ทางเท้าผ่านระบบลำโพงติดตั้งภายนอก
การออกแบบสไตล์ M Sport ของบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport (M Performance Edition) นี้ ยังเสริมความโดดเด่นคล่องแคล่วบนท้องถนนด้วยชุดแต่ง M Aerodynamics ทั้งในส่วนด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลังของรถยนต์ กระจังหน้าทรงไตคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูได้ถูกออกแบบเป็นพิเศษบริเวณซี่กระจังหน้าไตคู่สีดำเงาและขอบช่องดักอากาศแบบสี Chrome เพิ่มความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยช่วงล่าง Adaptive M มาพร้อมระบบพวงมาลัยไฟฟ้าแปรผันตามการหมุนและความเร็วแบบ Servotronic และคาลิเปอร์เบรกแบบ M Sport เพิ่มความเพลิดเพลินในการขับขี่ด้วยความสะดวกสะบายและความหรูหราในห้องโดยสารที่ประกอบด้วยพวงมาลัยหนังแท้ M กาบบันไดและชุดแป้นวางเท้า เพดานหลังคาภายในสี Anthraciteและอีกมากมาย
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน เอนทรี ใหม่
ราคาจำหน่าย: 1,999,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ใหม่
ราคาจำหน่าย: 2,529,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)
ดีไซน์ที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างประณีต อุปกรณ์เสริมและชุดแต่งที่สะดุดตา และเทคโนโลยีระดับนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนการทำงานในทุกส่วนของตัวรถ ส่งให้ มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ เหนือชั้นยิ่งกว่าใครในเซกเมนต์พรีเมียมคอมแพกต์ แนวคิดในการออกแบบที่ครบเครื่อง พร้อมด้วยพื้นที่ภายในสารพัดประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารรวม 5 ที่นั่ง ต่างเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นรถอเนกประสงค์ตัวจริงที่เปี่ยมด้วยสีสันและความสนุกในสไตล์มินิอยู่เสมอ ไม่ว่าจะโลดแล่นบนท้องถนนในชีวิตประจำวัน ออกเดินทางสู่
จุดหมายไกล หรือลุยผจญภัยบนทุกสภาพพื้นผิว
ดีไซน์ของมินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ เน้นย้ำเสน่ห์อันแข็งแกร่งของรุ่นรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของมินิ โครงสร้างใหม่ของครอบกันชนที่มาในสีเดียวกับตัวถัง ส่งให้ตัวรถมีรูปลักษณ์ที่หมดจดและหรูหรายิ่งกว่าเคย ส่วนกระจังหน้าในดีไซน์ใหม่ มาในกรอบทรงหกเหลี่ยมในแบบฉบับมินิ ล้อมรอบด้วยกรอบโครเมียมบางโดดเด่นด้วยลวดลายกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมที่เสริมความโดดเด่นด้วยอักษร S สีแดง ล้อมด้วยขอบโครเมียม ด้านหน้ารถที่ออกแบบใหม่ มาพร้อมไฟหน้า LED ในทรงกลมมน และไฟวงแหวนที่ทำหน้าที่เป็นทั้ง
ไฟส่องสว่างระหว่างวันและไฟเลี้ยวในตัวเดียวกัน มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ ในชุดแต่งมาตรฐานมาพร้อมกับไฟตัดหมอก LED โดยที่ไฟวงแหวนครึ่งวงบนของไฟตัดหมอกทำหน้าที่เป็นไฟจอด
ส่วนกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ มีแผงใต้กันชนที่เสริมให้มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ ดูทรงพลังและทันสมัยเป็นพิเศษ ไฟท้ายแนวตั้งในกรอบโครเมียมเสริมความเอ็กซ์คลูซีฟและเอกลักษณ์ตามแบบฉบับแบรนด์สัญชาติอังกฤษ ฟังก์ชั่นไฟหน้าและท้ายทั้งหมดมาพร้อมกับเทคโนโลยี LED คุณภาพสูงเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในขณะที่ไฟท้ายโดดเด่นด้วยดวงไฟในลวดลายของธงยูเนียนแจ็ค มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน เอนทรี ใหม่มาพร้อมกับล้ออัลลอย 18 นิ้ว ลาย Pair Spoke ในขณะที่มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม มากับล้อขนาด 18 นิ้ว ลาย Black Pin Spoke
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร มอบกำลังสูงสุดถึง 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที ขับขี่สนุกตามสไตล์มินิด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ Steptronic 7 จังหวะ และแบบ Paddle Shift ในรุ่นไฮทริม โดยเครื่องยนต์มาพร้อมกับท่อร่วมไอเสียที่ผสานกับฝาสูบและเทอร์โบชาร์จเจอร์ จึงช่วยให้สามารถลดอุณหภูมิของไอเสียและระบบอัดอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบฉีดตรงในเครื่องยนต์เบนซินตัวนี้ยังสามารถทำงานด้วยแรงดันสูงสุดที่เพิ่มขึ้นจาก 200 เป็น 350 บาร์
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ ผสานสมรรถนะที่รองรับการขับขี่หลากหลายรูปแบบเข้ากับการออกแบบห้องโดยสารเพื่อการใช้งานที่หลากหลายไม่แพ้กัน โดยมาพร้อมกับเบาะหลังที่กว้างเต็ม 3 ที่นั่ง นอกจากนี้ เบาะนั่งแถว 2 ยังสามารถปรับพับในแบบ 40 : 20 : 40 เพื่อขยายปริมาตรความจุสัมภาระจาก 450 ลิตร เป็นสูงสุดถึง 1,390 ลิตร ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุผิวหน้าในสีดำ Piano Black โดยในรุ่นไฮทริม ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยเส้นสาย Chrome Line สีเงิน ขณะที่ชุดแต่ง MINI Excitement Package และไฟโลโก้ MINI ที่ฉายออกจากกระจกมองข้างลงสู่พื้นถนน เติมเต็มความหรูหราให้มินิ คันทรีแมน ใหม่ โดดเด่นยิ่งขึ้น
ระบบแสดงผล MINI Head-Up Display ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากห้องนักบินของเครื่องบินเจ็ท จะแสดงข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญ เช่น ความเร็วของรถ ให้ผู้ขับขี่เห็นได้โดยไม่บดบังทัศนียภาพบนท้องถนน ส่วนหน้าจอสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว บริเวณกลางแผงคอนโซล มาพร้อมกับระบบ MINI Connected ซึ่งเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่พร้อมสนับสนุนผู้ขับขี่บนท้องถนน
ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทางหรือข้อมูลอื่น ๆ ผ่านการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน มอบความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,448,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)
หลังจากเปิดตัวมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP ไปเมื่อปีที่ผ่านมา แฟน ๆ ชาวไทยจะได้พบกับเอกลักษณ์ความแรงเร้าใจสไตล์ GP อีกครั้งในรุ่นมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition ใหม่ ที่มาในจำนวนจำกัดเพียง 19 คัน ด้วยดีไซน์พิเศษและชุดแต่งที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนความทรงพลังในแบบฉบับมินิ จอห์นคูเปอร์ เวิร์คส์ GP รุ่นดั้งเดิมโดยเฉพาะ
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition ท้าทายทุกสายตาด้วยดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการพัฒนา มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP โดยตรง จึงสืบทอดเอกลักษณ์ตัวถังสีเทา Racing Grey metallicตัดกับหลังคา สปอยเลอร์ท้าย และฝาครอบกระจกสีเงิน Melting Silver metallic ส่วนช่องดักอากาศบนกระโปรงหน้า มือจับประตู และฝาถังน้ำมันในสีดำ สร้างความดุดันสุดเร้าใจในสไตล์เดียวกับมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP เช่นกัน ล้ออัลลอยจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ลาย Cup Spoke ขนาด 18 นิ้ว ประดับด้วยโลโก้ GP
บนดุมล้อ กรอบไฟหน้าสีดำ Piano Black พร้อมขอบล้อมบริเวณด้านในไฟหน้าและไฟท้ายสีดำ โลโก้มินิสีดำบนกระโปรงหน้าและกระโปรงท้าย รวมทั้งขอบประตูมาพร้อมตราสัญลักษณ์ GP Inspired เน้นย้ำถึงเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition ใหม่ยังมาพร้อมเบาะที่นั่งสปอร์ตหนัง Dinamica สไตล์จอห์นคูเปอร์ เวิร์คส์ ปักตราโลโก้ GP ซึ่งปรากฏบนพื้นพรมบริเวณที่นั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าเช่นกัน ตัดกับตะเข็บสีแดงอย่างลงตัว เข้ากับพวงมาลัยหุ้มหนัง Walknappa สไตล์จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ มาในดีไซน์สะดุดตาด้วยตะเข็บสีแดงเช่นกัน ตรงกลางมีชิ้นส่วนเหล็กบ่งบอกตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ผลิตขึ้นด้วยการพิมพ์แบบสามมิติ เช่นเดียวกับแป้นเปลี่ยนเกียร์และฝาครอบกุญแจ
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition รับพละกำลังขับเคลื่อนจากขุมพลังเบนซิน 4 สูบเช่นเดียวกับมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ 3 ประตู ควบคู่กับโครงสร้างน้ำหนักเบาและเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8 จังหวะ ส่งกำลังสูงสุด 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร โลดแล่นจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.1 วินาที สู่ความเร็วสูงสุด 246 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition ทั้ง 19 คันจะเปิดให้จองผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นทางwww.mini.co.th ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 เวลา 15.15 น. เป็นต้นไป
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,648,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน ใหม่ มาในดีไซน์ล่าสุดพร้อมชุดแต่งที่เน้นย้ำถึงความทรงพลังสไตล์รถแข่งอันเป็นเอกลักษณ์ของจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังขนาด 4 สูบ ส่งกำลังสูงสุด 225 กิโลวัตต์ / 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ส่งมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมนใหม่ จาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรได้ภายใน 5.1 วินาที ทำงานเข้าจังหวะกับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport แบบ 8 จังหวะ เสริมความปราดเปรียวด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ALL4 และเทคโนโลยีช่วงล่างที่ได้รับการออกแบบด้วย
ความเชี่ยวชาญตามแบบฉบับจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ เพื่อมอบความสนุกเร้าใจและความคล่องตัวสายพันธุ์รถแข่งรูปโฉมภายนอกยังโดดเด่นกว่าเคยด้วยเส้นสายที่คมชัดยิ่งขึ้น ภายในเสริมความเหนือระดับด้วยวัสดุตกแต่งคุณภาพสูง
มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน ใหม่ มาในตัวถังแบบ 4 ประตูพร้อมประตูท้ายบานใหญ่ รองรับ 5 ที่นั่ง การออกแบบภายในเอื้อต่อการใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย และสามารถขยายปริมาตรในการบรรจุสัมภาระได้ถึง 1,390 ลิตร จึงสมบูรณ์แบบทั้งสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน มาพร้อมความคล่องตัวสำหรับขับขี่ในตัวเมือง และยังมอบความสะดวกสบายอย่างครบครันแม้ขณะเดินทางระยะไกล
ประสิทธิภาพความปราดเปรียวของมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน ใหม่ ยังโดดเด่นด้วยการควบคุมที่แม่นยำเฉียบคมแม้ในสภาวะการขับขี่ที่ต้องการความคล่องตัวสูง ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่โครงสร้างตัวถังและแชสซีที่แข็งแกร่งอย่างเหนือชั้น มาพร้อมคาลิเปอร์เบรกแบบตายตัว 4 ลูกสูบบริเวณล้อหน้า และคาลิเปอร์เบรกลูกสูบเดี่ยวแบบลอยบริเวณล้อหลัง เพิ่มความสะดุดตาด้วยล้อจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ลาย Circuit Spoke ขนาด 19 นิ้ว แบบสองสี พร้อมคาลิเปอร์เบรกสีแดง Chili Red เสริมเสน่ห์ตรึงใจด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่รับกับไฟหน้า LED พร้อมเทคโนโลยีระบบไฟล้ำสมัย ไฟท้ายสะกดสายตาในดีไซน์ใหม่ลายธงยูเนียน แจ็ค
ภายในห้องโดยสารได้รับการยกระดับให้ส่งกลิ่นอายความสปอร์ตที่ล้ำสมัยและเหนือระดับยิ่งขึ้น มาพร้อมแผงหน้าปัดดิจิทัลใหม่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.0 นิ้ว จอแสดงผลแบบสีระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้วสร้างเอกลักษณ์ระดับพรีเมียมยิ่งขึ้นให้แก่บริเวณคอนโซลกลาง โดยที่ทั้งส่วนขอบจอและหน้าจอสัมผัสมาในสีดำ Piano Black